นางโจแอนนา หลิว ประธานองค์การแพทย์ไร้พรมแดน ( เอ็มเอสเอฟ ) กล่าวระหว่างเข้าร่วมพิธีที่โรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยเจนีวา เพื่อรำลึกครบรอบ 1 ปีเหตุการณ์กองทัพสหรัฐฯ ทิ้งระเบิดโจมตีโรงพยาบาลของเอ็มเอสเอฟ ที่เมืองคุนดุซ ทางตอนเหนือของอัฟกานิสถาน เมื่อวันที่ 3 ต.ค. 2558 เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 42 คน ในจำนวนนี้ 14 คนเป็นบุคลากรของเอ็มเอสเอฟ และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกราว 30 คน ว่าวันที่ 3 ต.ค. จะเป็น วันอันมืดหม่น สำหรับเอ็มเอสเอฟไปอีกนาน
ขณะที่พญ.เคทธลีน โธมัน ชาวออสเตรเลีย ที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์ที่เมืองคุนดุซ กล่าวประณามกลุ่มประเทศมหาอำนาจที่ไม่เคยเคารพกฎหมายด้านมนุษยธรรมระดับสากล เห็นได้จากการที่สถานการณ์ในซีเรียและเยเมนยังคง ลุกเป็นไฟ โรงพยาบาลในทั้งสองประเทศยังคงถูกโจมตีด้วยระเบิดไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งที่กฎการสงคราม ระบุไว้อย่างชัดเจน ว่าโรงพยาบาล โรงเรียน และศาสนสถานเป็น เป้าหมายอ่อน ที่ไม่สมควรถูกโจมตี
ทั้งนี้ เครื่องบินติดอาวุธเอซี-130 ของกองทัพสหรัฐฯ ระดมทิ้งระเบิดใส่โรงพยาบาลของเอ็มเอสเอฟในเมืองคุนดุซ เมื่อช่วงรุ่งสางของวันที่ 3 ต.ค.ปีที่แล้วตามเวลาท้องถิ่น หลังเกิดเหตุรัฐบาลสหรัฐฯและอัฟกานิสถานต่างเลี่ยงแสดงความรับผิดชอบโดยตรง โดยอ้างว่าเป็นปฏิบัติการเพื่อปกป้องเจ้าหน้าที่ภาคพื้นดิน และมีสมาชิกกลุ่มตอลีบันหลบซ่อนตัวอยู่ภายในโรงพยาบาล แม้หลังจากนั้นสหรัฐยอมรับเป็น ความผิดพลาด แต่มีรายงานด้วยว่าข้อมูลจากกล่องบันทึกเสียงภายในห้องควบคุม ระบุนักบินถามกลับมายังศูนย์บัญชาการภาคพื้นดินว่า จะให้ทิ้งระเบิดใส่โรงพยาบาลจริงหรือ
หลังจาก 4 วันต่อมาคือในวันที่ 7 ต.ค. ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐฯ แถลงขอโทษด้วยตัวเองอย่างเป็นทางการ โดยรัฐบาลสหรัฐฯรับผิดชอบค่าเสียหายทั้งหมด คือ 6,000 ดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 210,000 บาท ) สำหรับผู้เสียชีวิต 3,000 ดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 105,000 บาท ) สำหรับผู้ได้รับบาดเจ็บ และอีก 5.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 199.5 ล้านบาท ) เป็นค่าก่อสร้างโรงพยาบาลแห่งใหม่
แฟ้มภาพ