*สรุปข่าว 19.35 น.
+++นายทองเปลว กองจันทร์ รองอธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า สถานการณ์น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาปัจจุบัน (29 ก.ย. 59) มีปริมาณน้ำไหลผ่านสถานี C.2 อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ 1,790 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และแม่น้ำสะแกกรัง 167 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที กรมชลประทานยังคงระบายน้ำตอนบนลงสู่อ่าวไทยให้เร็วที่สุด เพื่อรองรับปริมาณฝนตกหนักในพื้นที่ภาคกลางล่าสุดวันนี้มีปริมาณน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยา 1,998 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ทำให้ระดับน้ำด้านท้ายเจ้าพระยามีระดับน้ำสูงขึ้นจากเดิมอีกประมาณ 50 – 70 เซนติเมตรสำหรับสถานการณ์น้ำในเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ตามที่กรมชลประทานประเมินว่ามีโอกาสที่เขื่อนจะมีปริมาณน้ำเต็มอ่างฯ วันที่ 8 ตุลาคม จำเป็นต้องเพิ่มการระบายน้ำออกจากเขื่อน เพื่อให้มีพื้นที่รองรับปริมาณน้ำจากฝนที่จะตกลงมาอีก โดยจะปรับเพิ่มการระบายจากเดิมวันละ 20.75 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็นวันละ 40 ล้านลูกบาศก์เมตร ส่วนแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง กรมชลประทานได้ใช้ประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ เป็นเครื่องมือในการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่วันที่ 25 กันยายนเป็นต้นมามีการระบายน้ำผ่านประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์ไปแล้วทั้งสิ้น 82.19 ล้านลูกบาศก์เมตร
+++นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวถึงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญต่อ การปรับแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องกับคำถามพ่วง ว่า มีประเด็นดังนี้ ผู้เสนอชื่อนายกฯต้องเป็น ส.ส.เท่านั้น การเสนอชื่อรอบแรกต้องมีรายชื่ออยู่ในบัญชีนายกฯของพรรคการเมืองเท่านั้น และ .การโหวตนายกฯเป็นอำนาจของสมาชิกรัฐสภาโดยใช้เสียงข้างมาก ถ้าเลือกไม่ได้ เดิมกรธ.กำหนดให้ ส.ส.จำนวนกึ่งหนึ่งเข้าชื่อของดเว้น แต่คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญระบุให้ ส.ว. ที่มีอำนาจในกระบวนการหานายกฯตามคำถามพ่วง เข้ามามีส่วนร่วมเข้าชื่องดเว้นบัญชีรายชื่อนายกฯด้วย จึงต้องปรับให้การงดเว้นบัญชีรายชื่อนายกฯ ต้องใช้เสียงสมาชิกรัฐสภาเกินกึ่งหนึ่ง หรือ 351 จาก 700 เสียง ก่อนเสนอให้ที่ประชุมรัฐสภา หามติ 2 ใน 3 หรือ 501 จาก 700 เสียง เพื่องดเว้นนายกฯตามบัญชี โดยสว.ไม่อาจจะเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีได้ นับแต่วันที่ได้ ส.ส.และส.ว.ชุดแรก ให้ใช้ 5 ปีเป็นเกณฑ์การนับ โดยการปรับแก้ของกรธ.ที่เหลืออีก 14 วัน ก็จะยึดไปตามถ้อยคำที่ศาลรัฐธรรมนูญใช้ จากนั้นก็จะส่งให้นายกฯนำขึ้นทูลเกล้าภายใน 30 วัน คาดว่า ปลายเดือน ตุลาคม หรือ ต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ รัฐธรรมนูญน่าจะได้ประกาศใช้
+++หลังพรรคเพื่อไทยออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้ารักษาความสงบแห่งชาติ ยุติการแทรกแซงหรือชี้นำกระบวนการยุติธรรมในคดีรับจำนำข้าว พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีจะไปแทรกแซงได้อย่างไร เพราะเป็นเรื่องของกฎหมาย พรรคเพื่อไทยคิดไปเองว่านายกรัฐมนตรีจะไปทำอะไรได้ ส่วนความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่มีขึ้นในช่วงการพิจารณาคดีรับจำนำข้าว ส่วนตัวจะดูแลเป็นพิเศษ หากยังอยู่ตรงนี้ ใครที่ออกมาทำให้เกิดความขัดแย้งหรือความไม่สงบก็จะดำเนินการตามกฎหมายในทุกเรื่อง ส่วนการแต่งตั้งคณะผู้แทนพิเศษรัฐบาลส่วนหน้า พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เรื่องนี้จะมีความชัดเจนยิ่งขึ้นในพรุ่งนี้ ต้องรอให้นายกรัฐมนตรีลงนามก่อน ซึ่งคณะทำงานมีจำนวนทั้งหมด 13 คน แต่ไม่ขอเปิดเผยรายชื่อ
++++ด้านนายวิษณุ เครืองามรองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการคำสั่งปกครองดำเนินการยึดทรัพย์ในคดีโครงการรับจำนำข้าว ที่หากว่าผู้ที่ต้องชดใช้ค่าเสียหาย ไม่สามารถนำเงินมาจ่ายได้นั้น ว่า ไม่มี คือไม่มีแต่มีระยะเวลา 10 ปี นับตั้งแต่รู้ว่าจะต้องไปดำเนินการยึด ซึ่งหากต้องถูกฟ้องล้มละลาย ก็ไม่ถึงขั้นต้องติดคุกแทนการจ่าย เพราะเรื่องนี้เป็นคดีแพ่ง ไม่ใช่คดีอาญา และในส่วนผู้ที่จะฟ้องล้มละลายนั้น ก็อยู่ที่ว่าหน่วยงานไหนเป็นเจ้าหนี้ ก็สามารถดำเนินการได้
+++การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เป็นการพิจารณานัดแรก เพื่อกำหนดวันแถลงเปิดสำนวนคดีถอดถอน นายนริศร ทองธิราช อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ออกจากตำแหน่ง กรณีเสียบบัตรแทนกัน และคดีถอดถอน นายอุดมเดช รัตนเสถียร อดีต ส.ส. พรรคเพื่อไทย กรณีสับเปลี่ยนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มา ส.ว. โดยที่ประชุม สนช.กำหนดวันแถลงเปิดสำนวนคดีของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช.) และผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 2 คน ในวันที่ 6 ตุลาคม 2559 นี้ โดยที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติไม่อนุญาตให้นายอุดมเดช เพิ่มพยานเอกสารบันทึกการประชุม สนช. ที่ลงมติไม่ถอดถอนนายสมศักดิ์ และนายนิคม เอกสารบันทึกการประชุม สนช. ที่ลงมติไม่ถอดถอนอดีต 38 ส.ว. และเอกสารบันทึกการประชุม สนช. ที่ลงมติไม่ถอดถอน อดีต 248 ส.ส. ด้วยฃ
+++ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลับมาอยู่ในภาวะที่สดใสตลอดทั้งวันอีกครั้งจากก่อนหน้าที่อยู่ในภาวะซบเซามาหลายวัน ปัจจัยต่างประเทศที่ผลการประชุมกลุ่มผู้ผู้ผลิตน้ำมันหรือ โอเปก ได้สร้างความพอใจให้กับตลาด หลังผู้นำมีความเห็นให้ตัดลดกำลังการผลิตลง2 -7แสนบาร์เรลต่อวัน จากปัจจุบันกำลังผลิตอยู่ที่33.2ล้านบาร์เรลต่อวัน เหลือ32.5-33ล้านบาร์เรลต่อวัน ถือเป็นลดกำลังผลิตครั้งแรกนับตั้งแต่ปี51แต่จะมีประชุมทางการอีกครั้งในวันที่ 30 พ.ย.59 ทำให้หุ้นกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะปตท. ช่วยดันตลาดส่งผลให้ดัชนีปิดตลาดที่ 1,491.43จุด เพิ่มขึ้น11.85จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 50,602.28ล้านบาท
+++ดัชนีนิกเกอิปิดพุ่งขึ้น 228.31 จุด ที่ 16,693.71 จุด
+++ดัชนีฮั่งเส็งเพิ่มขึ้น 119.82 จุด ปิดวันนี้ที่ 23,739.47 จุด
+++ผศ.ดร.เฉลิมพล แจ่มจันทร์ คณะทำงานรายงานสุขภาพคนไทย สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวในงานแถลงข่าว “เข้าใจพฤติกรรมต่างเจน ผ่านตัวชี้วัดสุขภาพคนไทย” ซึ่งจัดโดยสำนักงานสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ร่วมกับสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ว่า จากการศึกษาความแตกต่างของคนแต่ละรุ่น (เจเนอเรชั่น) ปี 2559 แยกเป็นกลุ่มที่เกิดระหว่างปี 2486-2503 หรือเบบี้บูม 11.7 ล้านคน เกิดปี 2504-2524 หรือเจนเอ็กซ์ 23 ล้านคน เกิดปี 2525-2548 หรือเจนวาย 22 ล้านคน และกลุ่มหลังเจนวาย 7.8 ล้านคน พบว่ากลุ่มเบบี้บูมเมอร์เคารพกติกาทางสังคมมากที่สุด แต่ยอมรับความหลากหลายได้น้อยกว่ารุ่นอื่น ๆ ส่วนเจนเอ็กซ์ เปิดรับเอาวัฒนธรรมต่างชาติมามาก แต่งงานช้าลง เป็นโสดเพิ่มขึ้น มีหลักประกันรายได้หลังเกษียณดีขึ้น อาจจะพึ่งพาตัวเองเพิ่มขึ้น พึ่งพาลูกหลานน้อยลง ส่วนพฤติกรรมสุขภาพพบความเสี่ยงบางด้าน เช่น อายุการเริ่มสูบบุหรี่และดื่มสุรา พฤติกรรมทางเพศ สำหรับเจนวายพบว่าแต่งงานช้าและไม่ต้องการมีบุตร เปลี่ยนงานบ่อย คนในเขตเมืองมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกอายุเฉลี่ย 15 ปี ค่าเฉลี่ยจำนวนคู่นอนของหญิงเพิ่มขึ้นมาเท่ากับผู้ชาย คืออยู่ที่ 5 คน ดังนั้น สสส.จะต้องพัฒนาสุขภาพของคนไทยให้เข้ากับชีวิตของคนแต่ละช่วงวัย เช่น ด้านสังคมจะให้ความรู้แก่ครอบครัวผ่านโครงการครอบครัวอบอุ่น ซึ่งเป็นแรงยึดเหนี่ยวสำหรับกลุ่มคนหลังเจนวาย คนเจนเอกซ์และเจนวาย เป็นกลุ่มที่ต้องจับตาหนี้เสียในทุกประเภทสินเชื่อ โดยเฉพาะกลุ่มเจนวายที่มีหนี้เสียเพิ่มขึ้น ขณะที่กลุ่มเบบี้บูมที่มีหลักประกันรายได้วัยชราน้อยก็ร่วมมือกับกระทรวงแรงงาน ในการสนับสนุนการขยายอายุ และโอกาสในการทำงานของแรงงานในระบบ ส่งเสริมให้มีการออมในกองทุนการออมแห่งชาติตั้งแต่อายุยังน้อย
+++รัฐบาลท้องถิ่นในมณฑลเจ้อเจียง ทางภาคตะวันออกของประเทศจีน รายงานว่า มีคนสูญหาย 33 คนจากเหตุดินสไลด์หลังฝนตกหนักใน 2 หมู่บ้านในมณฑลเจ้อเจียงหลังพายุไต้ฝุ่นเมกีพัดถล่มเมื่อวานนี้ จนถึงเช้าวันนี้ ทีมกู้ภัยสามารถช่วยเหลือชาวบ้านได้แล้ว 13 คน ยังเหลือผู้สูญหายอีก 27 คนหลังเกิดเหตุดินสไลด์ที่หมู่บ้านซูจุน เมืองลิชุยเมื่อเย็นวานนี้ เศษดินราว 400,000 ลูกบาศก์เมตรสไลด์ลงมาจากเทือกเขาฝังบ้านเรือน 20 หลัง นอกจากนี้บ้านเรือนอีก 17 หลังถูกน้ำท่วม เจ้าหน้าที่กู้ภัยคนหนึ่งที่รุดไปช่วยอพยพชาวบ้านไปยังที่ปลอดภัยอยู่ในกลุ่มผู้สูญหาย บ้านเรือนหลายหลังในหมู่บ้านนั้นที่มีโครงสร้างอาคารไม่แข็งแรงถูกกระแสน้ำป่าซัดพังเสียหาย ชาวบ้านกว่า 1,460 คนอพยพไปยังสถานที่ปลอดภัย ด้านรัฐบาลท้องถิ่นได้ระดมทีมกู้ภัยกว่า 1,200 คน รถขุดดิน 21 คันและอุปกรณ์กู้ภัยอื่นๆ ส่วนที่หมู่บ้านเบาเฟิงได้รับผลกระทบจากพายุไต้ฝุ่นเช่นกัน มีคนสูญหาย 6 คน
+++บรรดานักการเมืองและสาธารณชนในอิสราเอลเข้าแถวเพื่อเคารพศพของอดีตนายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีชิมอน เปเรส เป็นครั้งสุดท้าย มีการลดธงครึ่งเสาทั่วประเทศ คาดว่าประชาชนหลายพันคนจะร่วมพิธีเคารพศพของเขาเป็นครั้งสุดท้ายหลังเคลื่อนศพของเขามาไว้ ที่อาคารรัฐสภาของอิสราเอล ด้านนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู กล่าวว่าชื่อของนายเปเรสจะถูกจารึกไว้ในความทรงจำของประชาชนทั่วประเทศในฐานะผู้นำคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของอิสราเอล ก่อนหน้านี้ นายเปเรส หนึ่งในผู้ก่อตั้งประเทศและอดีตผู้คว้ารางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันพุธ หลังโรคหัวใจกำเริบเมื่อวันที่ 13 กันยายน รวมอายุ 93 ปี