+++ที่ประชุมวุฒิสภาบราซิล ลงมติถอดถอน ประธานาธิบดีดิลมา รูสเซฟฟ์ วัย 68 ปี ออกจากตำแหน่ง ด้วยคะแนนเสียง 61 – 20 หลังถูกกล่าวหาว่าโยกย้ายเงินทุนระหว่างงบประมาณต่างๆ ของรัฐ ซึ่งเป็นเรื่องผิดกฎหมายในบราซิล เพื่ออุดช่องว่างของการขาดดุลงบประมาณในโครงการประชานิยม เพื่อเพิ่มโอกาสที่จะชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่ 2 เมื่อเดือนต.ค. 2014 หรือโทษฐานตกแต่งบัญชีตัวเลขสถานะการเงินการคลังของประเทศให้ดูดีเกินจริง ยุติการครองอำนาจนาน 13 ปี นางรูสเซฟฟ์ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 36 ของบราซิล ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2554 ภายหลังการถูกถอดถอนนางรูสเซฟฟ์ เปิดเผยว่า การลงมติถอดถอนเธอออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี ถือเป็นการก่อรัฐประหารในรัฐสภาโดยการเมืองฝ่ายขวา พร้อมกับประกาศจะนำพรรคคนงานของเธอจะกลับมาครองอำนาจอีกครั้ง
+++ด้านนายมิเชล เทเมอร์ อดีตรองประธานาธิบดี ที่ทำหน้าที่รักษาการผู้นำบราซิล นับตั้งแต่นางรูสเซฟฟ์ถูกสั่งพักการปฏิบัติหน้าที่เมื่อเดือน พ.ค. สาบานตนต่อที่ประชุมวุฒิสภา ในเวลา 16.00 น.ของวันพุธ ตามเวลาท้องถิ่น เพื่อรับตำแหน่งประธานาธิบดี ทำหน้าที่ตามวาระที่เหลืออยู่ของนางรูสเซฟฟ์จนถึงปี 2561
+++นายโอเมอร์ เซลิค รัฐมนตรีฝ่ายกิจการสหภาพยุโรป (อียู) ของตุรกี กล่าวว่า รัฐบาลตุรกีตำหนิสหรัฐฯกรณีแสดงความเห็นเรื่องบทบาทของตุรกีต่อปัญหาความขัดแย้งในซีเรีย ระบุว่าตุรกีเป็นรัฐที่มีอำนาจอธิปไตย การแสดงความเห็นว่ารัฐบาลตุรกีสมคบกับองค์กรก่อการร้ายและบอกว่ามีการเจรจาลับระหว่างรัฐบาลตุรกีกับกลุ่มก่อการร้ายแล้วมีการทำข้อตกลงกันระหว่างตุรกีกับกลุ่มผู้ก่อการร้ายเป็นเรื่องที่รับไม่ได้
+++กระทรวงต่างประเทศตุรกีได้เรียกนายจอห์น บาสส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำกรุงอังการาเข้าพบ เพื่อประท้วงในเรื่องนี้
+++เครื่องบินโดยสารแอร์บัส 320 เที่ยวบิน 387 สายการบินเจ็ตบลูของสหรัฐฯ ออกเดินทางจากสนามบินเมืองฟอร์ตลอเดอร์เดล ในรัฐฟลอริดา พร้อมผู้โดยสาร 150 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคณะผู้บริหารสายการบิน เจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐ และสื่อมวลชน เดินทางถึงสนามบินเมืองซานตา คลารา ทางภาคกลางของคิวบา เมื่อเวลาก่อน 11.00 น. วันพุธ หลังจากใช้เวลาบินประมาณ 1 ชม. เป็นเที่ยวบินโดยสารพาณิชย์จากสหรัฐฯเที่ยวแรกในรอบ 55 ปี ที่เดินทางสู่คิวบา
+++ เที่ยวบินโดยสารระหว่างสหรัฐฯกับคิวบาถูกตัดขาด หลังจากรัฐบาลสหรัฐฯประกาศมาตรการปิดล้อมทางการค้าต่อคิวบา เมื่อวันที่ 19 ต.ค. 2503
+++สิงคโปร์ ยังคงเดินหน้าควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสร้ายซิกา ล่าสุด พบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็น 82 คนแล้ว ทำให้หวั่นเกรงกันว่า หญิงตั้งครรภ์ทั้งหลายอาจตกอยู่ในอันตราย เพราะเชื้อนี้จะแพร่ระบาดจากแม่สู่ลูก ที่จะส่งผลให้ลูกพิการสมองเล็กได้ ส.ส.ของสิงคโปร์ ได้พากันลงพื้นที่ เพื่อเยี่ยมหญิงตั้งครรภ์ พร้อมให้คำแนะนำที่ถูกต้อง ในการป้องกันตัวเอง
+++สำนักงานควบคุมสิ่งแวดล้อมสิงคโปร์ ตรวจตราตามหอพักคนงานต่างชาติ และบริเวณโดยรอบอย่างละเอียด รวมถึงบริเวณอื่นๆ ทั่วเกาะสิงคโปร์ โดยเจ้าหน้าที่ได้สวมหน้ากากป้องกัน ก่อนเข้าไปฉีดพ่นยุงตามอาคารสูงต่างๆ ของประเทศ โดยใช้อุปกรณ์ฉีดพ่นยุงที่ได้มาตรฐาน นอกจากนี้ ยังมีการลงพื้นที่ให้คำแนะนำแก่หญิงตั้งครรภ์ ถึงวิธีการป้องกันการติดเชื้อไวรัสซิกาด้วย สิงคโปร์ เป็นศูนย์กลางการเงินสำคัญในภูมิภาค และเป็นศูนย์กลางการเดินทาง รวมถึงเป็นประเทศที่มีแรงงานต่างด้าวเข้ามาทำงานมาก ซึ่งค่อนข้างเสี่ยง ที่จะติดโรคระบาด ประกอบกับสภาพอากาศร้อนชื้นของสิงคโปร์ด้วย
+++ปฏิบัติการด้านความมั่นคงของตำรวจมาเลเซีย 3 วัน ระหว่างวันที่ 27 - 29 ส.ค. สามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยชายชาวมาเลเซีย 3 คน ซึ่งมีแผนโจมตีสถานที่หลายแห่งในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ก่อนถึงงานฉลองวันชาติครบรอบปีที่ 59 เมื่อวานนี้ พล.ต.อ.คาหลิด อาบู บาการ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมาเลเซีย กล่าวว่า ผู้ต้องสงสัยทั้ง 3 คนได้รับคำสั่งจาก นายโมฮัมหมัด วานดี มูฮัมหมัด เจได ชาวมาเลเซียที่กำลังเข้าร่วมการสู้รบกับกลุ่มไอเอสในซีเรีย ให้โจมตีสถานที่สำคัญหลายแห่งในเมืองหลวงกัวลาลัมเปอร์ รวมถึง ศูนย์ความบันเทิง วัดฮินดู และสถานีตำรวจ โดยตามแผนจะลงมือโจมตีในวันพุธ 1 วันก่อนถึงงานวันชาติ
+++พล.ต.อ.คาหลิด เผยอีกว่า จากการสอบสวนเบื้องต้น ผู้ต้องสงสัยทั้ง 3 คนมีแผนจะเดินทางออกนอกประเทศไปยังซีเรีย เพื่อเข้าร่วมกับกลุ่มไอเอส หลังลงมือโจมตีได้สำเร็จ
+++เจ้าหน้าที่สนามบินในเยอรมนี กล่าวว่า ท่าอากาศยานแฟรงก์เฟิร์ตเริ่มกลับมาให้บริการได้ตามปกติอย่างเต็มรูปแบบอีกครั้ง หลังจากต้องอพยพผู้คนออกจากอาคารผู้โดยสาร1ไปบางส่วน จากกรณีมีรายงานว่า มีผู้ผ่านระบบความปลอดภัยไปได้โดยที่ไม่มีการตรวจสอบเลย ผู้บริหารสนามบินมีข้อความทางทวิตเตอร์วันนี้ว่า สนามบินแฟรงก์เฟิร์ตในเยอรมนีให้บริการได้ตามปกติอีกครั้งหลังมีเหตุดังกล่าวเป็นเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ต้องอพยพผู้โดยสารทั้งหมดเพื่อรักษาความปลอดภัยไว้ก่อนและตรวจสอบระบบความมั่นคงอีกครั้ง จากเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ต้องเลื่อนเที่ยวบินและขอให้ผู้โดยสารตรวจสอบสถานะเที่ยวบิน โดยที่ยังไม่มีรายงานว่าพบบุคคลดังกล่าวที่เป็นต้นเหตุครั้งนี้หรือไม่
+++ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ จีดีพี ของอินเดีย ขยายตัวร้อยละ 7.1 ในช่วงเวลา 3 เดือน จาก เม.ย. - มิ.ย. ของปีนี้ ลดลงจากร้อยละ 7.9 ในไตรมาสแรก และต่ำกว่าคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ ส่วนใหญ่ทำนายว่า ตัวเลขการขยายตัวในไตรมาสที่ 2 ของอินเดีย จะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 7.6 รัฐบาลอินเดียของนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ตั้งเป้าหมายการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศ โดยเฉลี่ยที่ประมาณร้อยละ 8 ประกาศจะสร้างงาน 250 ล้านตำแหน่ง ในระยะ 10 ปีข้างหน้า ได้ดำเนินมาตรการหลายแนวทาง เพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ และกระตุ้นการลงทุนภายในประเทศที่เฉื่อยชา แต่แผนการเหล่านี้ยังไม่ประสบความสำเร็จ
+++สำนักข่าวเอพีรายงานจากกรุงอาบูจา ประเทศไนจีเรีย ว่า ไนจีเรีย ประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดของทวีปแอฟริกา ได้รับผลกระทบหนักจากภาวะราคาน้ำมันในตลาดโลกตกต่ำ ซึ่งทำให้รายได้ของรัฐบาลลดลงอย่างมาก รวมทั้งค่าเงินของประเทศอ่อนลง และดันอัตราเงินเฟ้อสูงในรอบ 11 ปี
CR:AP