*คสช.แจงไม่ละเมิดสิทธิของ “กริชสุดา” นักกิจกรรมเสื้อแดงที่ถูกคุมตัว*

ตามที่องค์กรสิทธิมนุษยชน Human Rights Watch แสดงความกังวลกรณีของน.ส.กริชสุดา คุณะแสน นักกิจกรรมกลุ่มเสื้อแดง พ.อ. วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก และ ทีมโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ชี้แจงว่า เจ้าหน้าที่ทหาร-ตำรวจหน่วยปฏิบัติการในพื้นที่ได้ขอควบคุมตัว น.ส.กริชสุดา เมื่อวันที่ 28 พ.ค.ที่ จ.ชลบุรี เนื่องจากพฤติกรรมที่ผ่านมา มีลักษณะเข้าข่ายต้องสงสัยความผิดตาม ม.116 (2)กับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จึงต้องขอควบคุมตัวเพื่อสอบสวนตามขั้นตอน ซึ่งได้ความร่วมมือเป็นอย่างดี  เจ้าหน้าที่ยังไม่ได้ตั้งข้อกล่าวหา จากนั้นเมื่อวันที่ 18 มิ.ย. คสช.ได้เชิญให้มารายงานตัวตามกระบวนการสร้างความเข้าใจตามปกติ ยืนยันอีกครั้งว่า การเชิญรายงานตัว จะไม่ได้ปฏิบัติต่อบุคคลนั้นๆ ในลักษณะผู้มีความผิด  ขอให้ทุกฝ่ายสบายใจได้ กระบวนการนี้ยังยึดในหลักสิทธิมนุษยชนเหมือนเดิม

ส่วนที่นายแบรด อดัมส์ ผู้อำนวยการฝ่ายเอเชียของ Human Rights Watch ต้องการให้เปิดเผยสถานที่ควบคุมตัวของน.ส.กริชสุดา ขอชี้แจงว่า คสช.ต้องการให้ น.ส.กริชสุดา มีสมาธิ ไตร่ตรองตั้งสติ ทบทวนสิ่งต่างๆ ปรับความเข้าใจ หรือบางครั้งส่วนใหญ่จะเป็นไปตามความต้องการของบุคคลนั้นๆ เอง จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เท่าที่จำเป็น เพียงพอต่อการปรับทัศนคติและทำความเข้าใจ

ความกังวลเรื่องที่นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ และ น.ส.จิตรา คชเดช นักกิจกรรมด้านสิทธิแรงงาน ที่ถูกตั้งข้อหาจากการไม่รายงานตัวต่อ คสช. ทั้งๆ ที่ทั้งสองคนได้แสดงเจตจำนงจะไปรายงานตัวต่อ คสช.ก่อนหน้านั้นแล้ว พ.อ.วินธัย กล่าวว่า อาจต้องดูที่เจตนาและเงื่อนไขเวลา เป็นความเห็นของพนักงานสอบสวน ยืนยันว่าทุกอย่างจะต้องได้รับการพิจารณาอย่างเป็นธรรมอย่างแน่นอน และทุกคนสามารถต่อสู้แก้ต่างได้ตามช่องทางกระบวนการยุติธรรมที่เปิดโอกาสให้ ตามพยานหลักฐานและข้อเท็จจริง ยืนยันจะไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน ถึงแม้จะอยู่ในอำนาจศาลทหาร สำหรับข้อเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ที่ถูกคุมขังอยู่โดยไม่ตั้งข้อกล่าวหาทั้งหมดทันทีชี้แจงว่า บุคคลที่อยู่ในการดูแลของเจ้าหน้าที่มี 2ลักษณะ ลักษณะแรกคือเชิญมารายงานตัวเพื่อพูดคุยปรับทัศนคติปรับความเข้าใจ ขอความร่วมมือ เสร็จภารกิจก็กลับไป ไม่ได้ตั้งข้อกล่าวหาใดๆ อยู่แล้ว อีกลักษณะหนึ่งคือตำรวจพบว่ามีคดีความผิดเดิมในช่วงที่ผ่านมา อาจรวมถึงเรื่องการฝ่าฝืนประกาศฯ ของเฉพาะบางบุคคล ก็จำเป็นต้องมีการถูกดำเนินการไปตามขั้นตอนของทางตำรวจต่อไป ซึ่งก็ต้องไปแก้ต่างกันเองตามช่องทางของกระบวนการยุติธรรมปกติ