โอบามาเยือนลาวเดือนหน้า/ผู้นำอิตาลีไว้อาลัยผู้เสียชีวิตแผ่นดินไหว/แรงงานต่างด้าวในสิงคโปร์ติดซิกา*

ในเดือนหน้า ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐ จะเดินทางเยือน สปป.ลาว เพื่อเข้าร่วมการประชุมสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่าผู้นำอเมริกาจะใช้โอกาสนี้ สกัดอิทธิพลของจีนในอาเซียน และจะเป็นความพยายามครั้งสุดท้ายก่อนอำลาตำแหน่งในช่วงต้นปีหน้า ทั้งนี้ รัฐบาลปัจจุบันของลาวมีความใกล้ชิดกับเวียดนาม ซึ่งมีกรณีพิพาทกับจีนในทะเลจีนใต้ ทำให้มีแนวโน้มที่จะหันไปเพิ่มความใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ ประธานาธิบดีโอบามายังเป็นผู้นำสหรัฐฯ คนแรกที่เดินทางเยือนลาวขณะที่ดำรงตำแหน่ง

ในการประชุมอาเซียนสองครั้งที่ลาวเป็นเจ้าภาพ ลาวแสดงท่าทีห่างเหินจากจีนอย่างชัดเจนมากขึ้น ขณะที่กัมพูชา มีท่าทีใกล้ชิดกับจีน แต่กระทรวงต่างประเทศของจีน ระบุว่า จีนมีความยินดีที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ที่สร้างสรรค์ ตราบใดที่ความสัมพันธ์นั้นเป็นประโยชน์อย่างแท้จริงต่อความสงบสุข เสถียรภาพ และความมั่งคั่งของภูมิภาค

ประธานาธิบดีเซอร์จิโอ มัตตาเรลลา และนายกรัฐมนตรีมัตเตโอ เรนซี แห่งอิตาลี เดินทางไปที่เมืองอัสโกลี ปิเซโน ในแคว้นมาร์เกที่อยู่ทางตอนกลางของประเทศ เพื่อเข้าร่วมพิธีไว้อาลัยและฝังศพของผู้เสียชีวิตกลุ่มแรก 35 คน จากแผ่นดินไหวรุนแรง 6.2 เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ซึ่งตามมาด้วยอาฟเตอร์ช็อกอีกมากกว่า 1,300 ครั้ง  

ส่วนภารกิจกู้ภัยและค้นหาผู้สูญหายยังคงดำเนินต่อไป โดยพบร่างผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 291 คน โดยในจำนวนนี้มีอยู่ประมาณ 230 คนเสียชีวิตที่เมืองอมาทริเช ซึ่งเป็นพื้นที่ได้รับความเสียหายมากที่สุดจากแผ่นดินไหวครั้งนี้ และมีชาวต่างชาติรวมอยู่ด้วยอย่างน้อย 16 คน เป็นชาวโรมาเนีย 10 คน ชาวสหราชอาณาจักร 3 คน ส่วนที่เหลือมาจากแคนาดา เอลซัลวาดอร์ และสเปน แต่กระทรวงการต่างประเทศของโรมาเนียแจ้งว่ายังมีพลเมืองสูญหายจากเหตุการณ์ครั้งนี้อีก 16 คน

นอกจากนี้ รัฐบาลอิตาลียื่นขออนุญาตสหภาพยุโรป (อียู) งดเว้นการใช้กฎควบคุมการทำงบประมาณขาดดุลชั่วคราว เพื่อลงทุนสร้างอาคารบ้านเรือนที่มีความทนทานต่อแรงแผ่นดินไหว อย่างไรก็ตาม ทางการอิตาลียังไม่สามารถประเมินงบประมาณที่จะใช้เพื่อการฟื้นฟูบูรณะ แต่เชื่อว่าจะเป็นเงินจำนวนหลายพันล้านยูโร และใช้เวลาดำเนินโครงการเป็นเวลาหลายปี

ตำรวจคอซอโว  จับกุมผู้ประท้วง ซึ่งเป็นชนเชื้อสายแอลเบเนียจำนวน 24 คนที่ปะทะกับตำรวจในระหว่างการประท้วงต่อต้านชาวเซิร์บทางภาคใต้ของประเทศ และมีตำรวจได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 4 นาย โดยมีอยู่ 2 นายที่มีอาการสาหัส การประท้วงของกลุ่มชนเชื้อสายแอลเบเนีย มีขึ้นเพื่อแสดงพลังต่อต้านกลุ่มผู้แสวงบุญชาวเซิร์บ ราว 100 คน ที่เดินทางมาที่โบสถ์ออร์โธดอกซ์ในเขตหมู่บ้านมูชูติชเต

ที่ซีเรีย กลุ่มกบฏที่ได้รับการสนับสนุนจากตุรกี ปะทะอย่างดุเดือดกับกองกำลังชาวเคิร์ดทางเหนือของซีเรีย ในเวลาเดียวกันกับที่กองทัพรัฐบาลซีเรียระดมโจมตีกองกำลังเคิร์ดและกลุ่มรัฐอิสลามหรือไอเอส ซึ่งทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งทางตอนเหนือของซีเรียซับซ้อนมากขึ้น

รัฐบาลตุรกี ประกาศว่า การบุกซีเรียก็เพื่อป้องกันนักรบเคิร์ดวายพีจีไม่ให้ขยายพื้นที่ยึดครองในซีเรียในบริเวณแนวชายแดนติดกับตุรกี เพราะจะทำให้กลุ่มนักรบเคิร์ดพีเคเค ซึ่งอยู่ในตุรกีเคลื่อนไหวรุนแรงมากขึ้น นอกจากนี้ ในปฏิบัติการที่ซีเรีย ยังมีทหารตุรกีเสียชีวิต 1 นายและบาดเจ็บ 3 นาย เนื่องจากถูกโจมตีด้วยด้วยจรวดที่เชื่อว่ายิงมาจากดินแดนในความควบคุมของกลุ่มวายพีจี

นอกจากนี้ กลุ่มติดอาวุธที่สงสัยว่าเป็นนักรบเคิร์ดยังโจมตีสนามบินหลักในเมืองดิยาร์บากีร์ ซึ่งอยู่ทางใต้ของตุรกี แต่ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บ

กองทัพตุรกียังเผยแพร่คลิปที่เป็นภาพสภาวงเดือนแดงของตุรกีแจกจ่ายอาหาร และให้ความช่วยเหลือประชาชนในจาราบลัส โดยสภาทหารจาราบลัสอ้างว่า พวกเขาชิงเมืองคืนมาจากกลุ่มไอเอส

ที่อินโดนีเซีย เกิดเหตุชายชาวมุสลิมคนหนึ่งพยายามจุดชนวนระเบิดโจมตีกลางโบสถ์คาทอลิกในเมืองเมดัน แล้วใช้มีดทำร้ายบาทหลวงที่แท่นประกอบพิธีมิสซา แต่เขาถูกผู้ที่อยู่ในโบสถ์ช่วยกันจับตัวเอาไว้ได้ และส่งตัวให้ตำรวจ เหตุการณ์นี้ทำให้บาทหลวงอัลเบิร์ด ปันเดียนกัน ที่กำลังประกอบพิธีมิสซา ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ตำรวจเปิดเผยว่า คนร้ายรายนี้พยายามจุดชนวนระเบิดแสวงเครื่องที่ประกอบขึ้นเอง โดยมีลักษณะคล้ายประทัด แต่ระเบิดไม่ทำงาน จึงเปลี่ยนเป็นพยายามจะทำร้ายบาทหลวง

รัฐบาลสิงคโปร์แถลงยืนยันพบผู้ติดเชื้อไวรัสซิกาที่เกิดจากการแพร่เชื้อภายในประเทศเพิ่มอีก 40 คน ส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างด้าวที่อยู่ในค่ายพักแรงงานก่อสร้างแห่งหนึ่ง โดยเมื่อวันเสาร์ สิงคโปร์พบผู้ติดเชื้อไวรัสซิกาจากการแพร่เชื้อภายในประเทศรายแรก เป็นหญิงชาวมาเลเซียอายุ 47 ปีที่อาศัยอยู่ในสิงคโปร์ และผู้ติดเชื้อทั้ง 41 รายนี้เป็นผู้ที่มีถิ่นพำนักหรือเป็นแรงงานที่พักอยู่ในย่านชุมชนชานเมืองและเขตอุตสาหกรรม ไม่มีประวัติเดินทางไปยังพื้นที่ที่ไวรัสแพร่ระบาด จึงเป็นไปได้ว่าพวกเขาน่าจะติดเชื้อในสิงคโปร์ โดยในกลุ่มผู้ติดเชื้อยังมีอยู่ 7 ราย ซึ่งยังมีอาการและมีโอกาสแพร่เชื้อ แพทย์จึงให้พักอยู่ในโรงพยาบาล

..