ความพยายามเปิดช่องคำถามพ่วงให้สมาชิกวุฒสภาเสนอชื่อนายกรัฐมนตรี พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ต้องพิจารณาจากเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญ และ คำถามพ่วง ยืนยันว่าการตีความนั้น ไม่สามารถเกินกว่าถ้อยคำของคำถามพ่วง และสนช.ไม่มีหน้าที่ในการตีความคำถามพ่วง เนื่องจากเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ หรือ กรธ.ที่จะพิจารณาแก้ไข ส่วนหน้าที่ของสนช.นั้น สิ้นสุดลงตั้งแต่ส่งคำถามพ่วงให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ทั้งนี้ยืนยันว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ไม่เคยหารือถึงการตีความคำถามพ่วง เพราะกฏหมายเขียนไว้ชัดเจนไม่จำเป็นต้องตีความ
ส่วนกรณีคำสั่ง หัวหน้าคสช.ฉบับที่49/2559 เรื่องมาตรการอุปถัมภ์และคุ้มครองศาสนาต่างๆในประเทศไทย โดยกำหนดให้หน่วยงานของรัฐ ส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษา และเผยแพร่หลักธรรมคำสอนของแต่ละศาสนา พลเอกประวิตร ยอมรับว่าคำสั่งดังกล่าวออกมาเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องศาสนาในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เนื่องจากมีผู้นำเรื่องนี้ไปสร้างความไม่เข้าใจให้กับประชาชนในพื้นที่ โดยเชื่อว่าเมื่อมีคำสั่งนี้ออกไป จะช่วยคลี่คลายสถานการณ์ได้ แต่ไม่เกี่ยวข้องกับความวุ่นวายในวงการพระสงฆ์ขณะนี้ ส่วนจะมีการพัฒนาออกมาเป็น กฎหมายถาวรหรือไม่นั้น เป็นเรื่องของอนาคต
ด้านการส่งทหารเข้าไปดูแลเรื่องการทวงคืนผืนป่าในพื้นที่ป่าชายเลนภาคใต้ พลเอกประวิตร กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ต้องดำเนินไป โดยยอมรับว่าข้าราชการมีความหวาดกลัวผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ซึ่งการขอย้ายออกจากพื้นที่น่าจะเกิดจากปัญหาเฉพาะบุคคล เพราะส่วนใหญ่ยังคงปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ ทั้งนี้ได้มีการสั่งการให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่หาข้อมูลตรวจสอบกลุ่มผู้มีอิทธิพลที่ข่มขู่เจ้าหน้าที่ นอกจากนี้พลเอกประวิตร ยังกล่าวถึงการพูดคุยสันติสุขในพื้นที่3จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในวันที่2กันยายน ว่าเป็นการพูดคุยที่ดำเนินการมาโดยตลอด เกี่ยวกับความร่วมมือในพื้นที่ 3จังหวัดชายแดนภาคใต้กับประเทศมาเลเซีย ทั้งนี้ตนยังไม่เห็นร่างTOR ความร่วมมือข้อตกลงที่ทั้ง2ประเทศจะทำร่วมกัน
ส่วนกรณีที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติออกมาระบุว่า กลุ่มที่ก่อเหตุวางระเบิดและวางเพลิงในพื้นที่7จังหวัดภาคใต้เป็นกลุ่ม BRN กลุ่มใหม่ พลเอกประวิตร กล่าวว่า ยังไม่ยืนยัน เนื่องจากไม่มีความชัดเจน จึงขอเวลาในการตรวจสอบ เบื้องต้นพบว่าผู้ที่ก่อเหตุเป็นหน้าใหม่ทั้งหมด