ทำเนียบนายกรัฐมนตรีนูริ อัลมาลิกิของอิรัก กล่าวในแถลงการณ์ว่า ซาอุดิอาระเบียจะต้องรับผิดชอบกรณีให้การสนับสนุนทางการเงินแก่กลุ่มติดอาวุธ และการก่ออาชญากรรมที่ร้ายแรงของกลุ่มติดอาวุธในอิรัก ระบุว่า ความเห็นจากทางการซาอุดิอาระเบียบ่งชี้ว่า เข้าข้างกลุ่มผู้ก่อการร้ายอย่างชัดเจน พร้อมทั้งประณามเรื่องการแสดงจุดยืนเช่นนั้น แถลงการณ์ดังกล่าวมีขึ้นไม่กี่วัน หลังซาอุดิอาระเบียและกาตาร์ตำหนินโยบายสร้างความแตกแยกทางศาสนาของรัฐบาลอิรัก ที่มีชาวมุสลิมชีอะห์เป็นแกนนำ โดยการปราบปรามชาวมุสลิมสุหนี่ ชนกลุ่มน้อยของประเทศ ส่งผลให้เกิดเหตุความไม่สงบขึ้นมาทั่วประเทศ
ก่อนหน้านี้ ซาอุดิอาระเบียกล่าวในแถลงการณ์ว่า เหตุความไม่สงบย่อมจะไม่เกิดขึ้น หากไม่มีการใช้นโยบายสร้างความแตกแยกทางศาสนาและการกีดกันทางสังคมในอิรักในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งกระทบต่อเสถียรภาพและอาณาเขตของอิรักในที่สุด ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนมีนาคม นายมาลิกิ กล่าวหาซาอุดิอาระเบียและกาตาร์ว่า ให้การสนับสนุนกลุ่มผู้ก่อการร้ายในอิรัก
สหรัฐได้ส่งเจ้าหน้าที่ทหาร 275 คนไปปกป้องสถานทูตสหรัฐในกรุงแบกแดดของอิรัก พร้อมทั้งจะพิจารณาเรื่องการใช้ปฏิบัติการทางอากาศเพื่อโจมตีกลุ่มติดอาวุธ หลังการบุกยึดเมืองสำคัญๆได้หลายแห่ง ท่ามกลางคำเตือนในวันนี้่ว่า อิรักเริ่มแตกสามัคคีกันอย่างรุนแรงชนิดที่ไม่อาจจะย้อนให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้
ขณะที่นายกรัฐมนตรีเนเชอร์วัน บาร์ซานี แห่งเขตปกครองตนเองเคอร์ดิสถาน ทางภาคเหนือของอิรัก เตือนว่า เป็นไปไม่ได้ที่อิรักจะกลับไปมีสภาพเหมือนเดิม ก่อนช่วงเริ่มการโจมตีของกลุ่มติดอาวุธเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน ระบุว่า เป็นไปได้ยากที่จะหาทางแก้ไขปัญหานี้ หากนายกรัฐมนตรีนูริ อัลมาลิกิ ยังคงอยู่ในอำนาจ พร้อมทั้งเสนอทางแก้ไขปัญหาด้วยการจัดตั้งเขตปกครองตนเองของชาวมุสลิมสุหนี่