ปธ.สนช.เผยนายกฯมีทางออกในใจ/คลัง มั่นใจพื้นฐานศก.ไม่ห่วงผลประชามติ/ราคาทองพุ่ง

03 สิงหาคม 2559, 12:47น.


+++ความกังวลเรื่องการบิดเบือนเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญ นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ยอมรับว่า มีความกังวลว่าจะมีการบิดเบือนทำให้ประชาชนเข้าใจผิดถึงผลการทำประชามติ หากรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญจะมีการแปลความหมายของผลประชามติในทางที่ไม่ถูกต้อง ขณะที่ นายกรัฐมนตรี ได้ยืนยันชัดเจนว่าหากประชาชนรับร่างรัฐธรรมนูญก็จะเดินหน้าตามโรดแมปที่ได้วางไว้ แต่หากไม่รับร่างรัฐธรรมนูญก็ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 เพื่อกำหนดแนวทางให้มีรัฐธรรมนูญ และเกิดการเลือกตั้งตามโรดแมปที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) วางไว้  ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาล และคสช. จะตัดสินใจร่วมกัน  ส่วนตัวเชื่อว่านายกรัฐมนตรีมีทางออกอยู่ในใจ แต่ยังไม่ได้ปรึกษาหารือกัน เพราะต้องรอผลประชามติ ซึ่งเป็นการตัดสินใจของประชาชนก่อน  และในฐานะที่เป็นที่ปรึกษา คสช. ยังไม่ได้หารือถึงวิธีการได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญหากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านการทำประชามติ



+++ประธานสนช. กล่าวว่า  ในส่วนของสนช. ได้อธิบายคำถามพ่วงหรือคำถามเพิ่มเติมต่อประชาชน และเชื่อว่าประชาชนที่ได้รับฟังการชี้แจงจะเข้าใจ พร้อมกล่าวเชิญชวนประชาชนออกไปใช้สิทธิออกเสียงประชามติ 7 สิงหาคมนี้   โดยตัดสินใจบนพื้นฐานข้อเท็จจริง



+++หลังจากพบปัญหาเรื่องบัญชีรายชื่อผู้สิทธิไปลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ที่ปิดประกาศไว้ ณ อาคารอเนกประสงค์ บ้านห้วยน้ำเย็น หมู่ที่ 7 ต.รวมไทยพัฒนา อ.พบพระ จ.ตากถูกฉีกไป จำนวน 2 แผ่น นายประสงค์ หล้าอ่อน นายอำเภอพบพระ พร้อมด้วย พ.ต.อ.อโนทัย จินดามณี ผกก.สภ.พบพระ และร.อ.ชาครีย์ แก้วศรีศุภวงศ์ ผู้บังคับกองร้อยทหารราบที่ 422 บก.ควบคุม ฉก.ร. 4 และตำรวจตระเวนชายแดน ไปทำความเข้าใจกับประชาชนที่บ้านห้วยน้ำเย็นในการไปใช้สิทธิ์ประชามติรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 7 สิงหาคม 2559 และขอให้ความร่วมมือจากประชาชน ไปใช้สิทธิในวันดังกล่าวทุกคน รวมทั้งขอความร่วมมือ ช่วยกันสอดส่อง เป็นหูเป็นตาของเจ้าหน้าที่รัฐ ตามหน่วยประชามติต่างๆ จากนั้นนายประสงค์ได้ไปตรวจสอบจุดที่มีปัญหาบัญชีรายชื่อสอบถามผู้นำหมู่บ้าน และชาวบ้านในพื้นที่ รวมทั้งตรวจสอบที่เกิดเหตุโดยรอบ พบกระดาษบัญชีรายชื่อ จำนวน 2 แผ่นฉีกขาด ตกห่างจากป้ายประกาศรายชื่อ ประมาณ 30 เมตร จึงนำมาตรวจสอบสรุปว่าบัญชีรายชื่อไม่น่าจะมีการฉีกทำลาย แต่เกิดเพราะฝนตก ลมพัดแรง จึงสั่งให้ย้ายไปจุดใหม่ และสั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองนำบัญชีรายชื่อส่วนที่หายไปปิดประกาศใหม่



+++นายสมชัย สัจจพงษ์  ปลัดกระทรวงการคลัง เชื่อว่าไม่ว่าผลจะออกมาทิศทางใด รัฐบาลก็มีแผนรองรับไว้อยู่แล้ว โดยจะไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ  มั่นใจไม่เกิดความวุ่นวายหลังผลประชามติออก เชื่อว่า ถ้าการเมืองนิ่งเศรษฐกิจครึ่งปีหลังจะเติบโตได้ดี  และจากนี้เศรษฐกิจไทยจะเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป  จากเดิมเคยเห็นจีดีพีขยายตัวปีละร้อยละ 6-7 ยืนยันว่าพื้นฐานเศรษฐกิจแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม  ต้องติดตามหลังประชามติเพื่อกำหนดทิศทางเศรษฐกิจที่ชัดเจนอีกครั้ง



+++พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นิตยสารนิกเกอิ เอเชียน รีวิว เผยแพร่บทความของ ปีเตอร์ แจนเซน ซึ่งได้เขียนถึงรัฐบาลไทยภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่า ได้รับการยอมรับนับถือในระดับหนึ่งจากบรรดานักธุรกิจทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศที่ประกอบธุรกิจอยู่ในไทย แม้จะต้องรับบทหนักในการแก้ไขปัญหาทางการเมือง นักธุรกิจหลายคน เช่น ประธานหอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทย หรือผู้บริหารสูงสุดของกลุ่มซิตี้ ชื่นชมนายกรัฐมนตรีที่เป็นคนตรงไปตรงมา มุ่งดำเนินนโยบายหลายด้าน ไม่เฉพาะแต่เรื่องการเมือง ทำให้นักธุรกิจและนักลงทุนเกิดความเชื่อมั่น โดยเฉพาะการอำนวยความสะดวกแก่ธุรกิจ การผ่อนคลายด้านวีซ่า แรงจูงใจด้านภาษี การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ การลงทุนด้านสาธารณูปโภค การส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล และการปราบปรามคอร์รัปชั่น



+++นายกรัฐมนตรี ฝากขอบคุณนักธุรกิจทุกคนที่เข้าใจการทำงานของรัฐบาล และย้ำว่ารัฐบาลนี้ให้ความสำคัญกับทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนประเทศตามแนวทางประชารัฐ โดยเฉพาะการส่งเสริมให้ภาคเอกชนและประชาชนเป็นแกนหลัก และภาครัฐพร้อมให้การสนับสนุนในทุกมิติ แนวโน้มของเศรษฐกิจในปีนี้เริ่มดีขึ้น ไตรมาสแรกของปี ขยายตัวร้อยละ 3.2 เร่งขึ้นจากร้อยละ 2.8 ในไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นการขยายตัวในอัตราสูงสุดในรอบ 12 ไตรมาส คาดว่าไตรมาสที่ 2 มีโอกาสขยายตัวสูงกว่าไตรมาสแรก หากคนในประเทศไม่มองแต่เรื่องของตัวเองอย่างเดียว แต่มองเรื่องผลประโยชน์ชาติเป็นหลักและร่วมมือกัน เชื่อว่าประเทศจะไปรอด และมีศักยภาพแข่งขันกับคนอื่น ๆ ขณะนี้รัฐบาลกำลังเร่งรัดการใช้จ่ายภาครัฐ ส่วนภาคการท่องเที่ยวและการผลิตขยายตัวได้ดี ภาคการเกษตรก็กลับมาดีขึ้นหลังจากผ่านพ้นภัยแล้ง ดังนั้นเศรษฐกิจโดยรวมของไทยในปีนี้จะดีขึ้น



+++หลังจากที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกและตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลงลง ทำให้เกิดการกระตุ้นให้นักลงทุนหันไปถือครองสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ ส่งผลให้ราคาทองคำตลาดโลกปิดตลาดปรับขึ้น 13.00 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,372.60 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนราคาทองคำในประเทศ บริษัทฮั่วเซงเฮง โกลด์ฟิวเจอร์ส ระบุว่า เปิดตลาดทองคำราคาพุ่งสูงสุดในรอบสัปดาห์ โดยราคารับซื้อทองคำแท่งอยู่ที่ 22,350.00 บาท ขายออกในราคา 22,450.00 บาท ส่วนทองรูปพรรณรับซื้ออยู่ที่ 21,951.68 บาท และขายออกในราคา 22,950.00 บาท ทำให้ราคาทองคำวันนี้เพิ่มขึ้นจากเมื่อวานนี้ สูงสุดถึง 100 บาท ในเวลา 09.20 น. นอกจากนั้น ยังทำให้ราคาขายออกทองคำรูปพรรณทะลุขึ้นไปถึง 23,000.00 บาท ล่าสุด ก่อนเที่ยง ตลาดทองคำยังไม่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลง และต้องให้ความสำคัญกับสถานการณ์ค่าเงินบาท



 



 

ข่าวทั้งหมด

X