การแจ้งความดำเนินดคีกับนายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์, พระสมุห์ชวลิต กิตติเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดท่าซุงทักษิณาราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และ นางสาวสายใย เอี่ยมภูมิ อายุ 87 ปี กรณีที่ทั้งสามคน ระบุว่า พระครูสุรสิทธิ์ ประธานสงฆ์วัดยี่ป่า อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา ในฐานะเจ้าอาวาสวัดแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงราย และ นางมณตา หยกรัตนกาญจน์ เรียกรับเงินจำนวน 2ล้าน8แสนบาท
นายวรกร พงศ์ธนากุล ทนายความเดินทางมาที่กองปราบปรามพร้อมกับพระครูสุรสิทธิ์ พบพันตำรวจโทเอก เฟื่องฟุ้ง รองผู้กำกับการสอบสวน กองกำกับการ4 เพื่อดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาท พระครูสุรสิทธิ์ ยืนยันว่า เคยเจอนางมณตาเมื่อปี 2558 เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ไม่เคยรู้จักสนิทสนมมาก่อน ขณะนั้น นางมณตาเดินทางมาทำบุญกับทหารนายหนึ่ง และไม่ได้พูดคุยหรือติดต่อกันอีก พร้อมให้ข้อมูลว่าไม่ได้เรียกรับเงินจากนางสาวสายใย และให้ปากคำเพิ่มเติมว่า
นางสาวสายใยที่ข่มขู่ เป็นเหตุการณ์เมื่อปี 2551-2552 พระครูสุรสิทธิ์ ประสบอุบัติเหตุ นาวสาวสายใย จึงชวนให้ไปนวดแผนโบราณที่ร้านนวดของตัวเอง ย่านสาทร แต่เมื่อไปถึงร้านนวด นางสาวสายใย กลับเอาเอกสารสัญญาเงินกู้มาให้เซ็นพร้อมข่มขู่ว่าหากไม่ยอมเซ็นจะไม่ปล่อยกลับไป จึงยินยอมเซ็นเอกสารเงินกู้ให้ ทั้งที่ไม่เคยมีการยืมเงิน จากนั้นอีกประมาณ 2-3 เดือน นางสาวสายใยได้มาทวงเงินคืน และยังข่มขู่ว่าหากไม่คืนเงินดังกล่าวจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด ก่อนจะแสดงภาพถ่ายกับบุคคลสำคัญและแสดงนามบัตรของบุคคลสำคัญ หลังจากนั้นจึงตัดสินใจนำเงินให้ทนายความเอาไปมอบให้นางสาวสายใย จำนวน 5 แสนบาท พร้อมได้ลงบันทึกประจำวันไว้ สภ.บางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยาไว้เป็นหลักฐาน
ด้านนายวรกร แสดงเอกสารการทำธุรกรรมทางการเงินในบัญชีชื่อ สุพิมพิสุทธิ์ เอี่ยมภูมิ ซึ่งตรวจสอบพบเป็นอีกชื่อหนึ่งของนางสาวสายใย ที่มีการถอนเงินและโอนเงินเข้าบัญชีดังกล่าว ซึ่งขัดแย้งที่นางสาวสายใยเคยอ้างว่าเป็นหลักฐานที่โอนให้กับพระครูสุรสิทธิ์ รวมทั้งนำเอกสารจากศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธาที่ได้มีการรับฟ้องพระสมุห์ชวลิต กิตติเมธี ในความผิด บุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ ยื่นให้พนักงานกองปราบปรามด้วย
ผู้สื่อข่าว:ธนดา เฉลิมวันเพ็ญ