สำนักงานสืบสวนกลางของสหรัฐฯ หรือ FBI ได้สัมภาษณ์นางฮิลลารี คลินตัน กรณีใช้อีเมลและเซิร์ฟเวอร์ส่วนตัวทำงาน ขณะดำรงตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ ระหว่างปี 2552-2556 โดยการสัมภาษณ์ ซึ่งใช้ระยะเวลานานกว่า 3 ชั่วโมง มีขึ้นหลังการสัมภาษณ์คนสนิทของนางคลินตันก่อนหน้า และก่อนการประชุมใหญ่พรรคเดโมแครตประมาณ 3 สัปดาห์ เพื่อแต่งตั้งนางคลินตันเป็นตัวแทนพรรคชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการในปลายปีนี้
โฆษกของนางคลินตันแถลงว่า นางคลินตันแสดงความเต็มใจในการให้สัมภาษณ์เช้านี้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า นางคลินตันไม่ได้ถูกเรียกตัวด้วยหมายศาล โดยนางคลินตันยินดีที่ได้รับโอกาสให้ความช่วยเหลือกระทรวงยุติธรรม เพื่อนำไปสู่การทบทวนข้อสรุป กับเป็นการส่งสัญญาณว่า การสอบสวนของ FBI ได้ดำเนินมาถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว ทั้งนี้ การให้สัมภาษณ์ FBI ของนางคลินตันยังมีขึ้นท่ามกลางการเปิดเผยว่า นางโลเร็ตตา ลินช์ รมว.ยุติธรรมของสหรัฐฯ ได้พบปะกับอดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน โดยไม่ได้นัดหมายที่ท่าอากาศยานในเมืองฟีนิกซ์ รัฐแอริโซนา สัปดาห์นี้ ซึ่งนางลินช์ไม่ได้เอ่ยถึงการพบปะกัน แต่ยืนยันว่า จะเคารพคำตัดสินของ FBI และอัยการว่า จะตั้งข้อหานางคลินตันหรือไม่ ขณะที่นายโดนัลด์ ทรัมพ์ ผู้สมัครเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ได้ทวีตข้อความระบุว่า เป็นไปไม่ได้ที่ FBI จะไม่ตั้งข้อหาอาญาต่อนางคลินตัน ทั้งที่ทำผิด ทั้งยังกล่าวหานางคลินตันด้วยว่า เป็นผู้ริเริ่มและต้องการให้อดีตประธานาธิบดีคลินตันพบกับนางลินช์ ซึ่งรู้จักกันมานานหลายปี โดยอดีตประธานาธิบดีคลินตันเคยแต่งตั้งนางลินช์ดำรงตำแหน่งทนายในนครนิวยอร์ก
ทั้งนี้ นับตั้งแต่ปรากฏเรื่องอื้อฉาวขึ้น พรรครีพับลิกันก็พยายามขุดคุ้ยเรื่องนี้ออกมาโจมตีนางคลินตันโดยตลอด ทั้งในแง่มุมการละเมิดกฎระเบียบในการปกป้องเอกสารที่มีชั้นความลับ ซึ่งเท่ากับเป็นคดีอาญา เพราะเป็นการนำเรื่องความมั่นคงของชาติมาเสี่ยงภัย นอกจากนี้ ยังบ่งชี้ว่า นางคลินตันอาจตั้งใจปกปิดบางเรื่องไม่ให้ถูกตรวจสอบ อย่างไรก็ตาม นางคลินตันยืนยันความบริสุทธิ์ แต่ก็ได้กล่าวขอโทษสำหรับการกระทำที่ขาดวิจารณญาณ พร้อมกับยืนยันด้วยว่า อีเมลที่ส่งผ่านเซิร์ฟเวอร์ส่วนตัว ไม่มีฉบับใดที่ประทับตรา “ลับ” และก็ได้ส่งอีเมลราว 30,000 ฉบับคืนให้กับกระทรวงการต่างประเทศแล้ว แต่ต่อมากระทรวงการต่างประเทศได้คัดแยกและทยอยนำอีเมลเผยแพร่ต่อสาธารณชน และระบุว่า มีอีเมลทำงานกว่า 2,000 ฉบับบรรจุข้อมูลข่าวสารที่มีชั้นความลับ ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อความมั่นคง หากเปิดเผยโดยในจำนวนนี้ 22 ฉบับถูกจัดชั้นความลับเป็นระดับ “ลับที่สุด” อีกด้วย
..
(1345 F171)