*นายกฯพร้อมหนุนSMEสู้ส่งออก ให้เอกชนช่วยขับเคลื่อนกับรัฐบาล*

27 มิถุนายน 2559, 16:26น.


การเปิดงาน "สานพลัง SMEs พลิกฟื้นยืนได้ ใส่ใจผู้ประกอบการ" และมอบนโยบายแก่สถาบันการเงินและผู้ประกอบการ SMEs ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์  พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวตอนหนึ่งว่า ในวันนี้เห็นลุคใหม่ของพลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พูดนิ่มนวลมากขึ้นกว่าเดิม เพราะพูดถึงความก้าวหน้าของประเทศ เนื่องจากปกติจะพูดถึงความขัดแย้งต่างๆทั้งคดีความและกฎหมาย เบื้องต้นรัฐบาลให้ความสำคัญธุรกิจเอสเอ็มอี เพราะอยู่ในการส่งออกของประเทศกว่าร้อยละ 90 จำนวนกว่า 2.9 ล้านราย รวมถึงธุรกิจสตาร์ทอัพด้วย เนื่องจากเป็นความก้าวหน้ารองรับเศรษฐกิจ 4.0 เพราะประเทศจะต้องเดินหน้าในด้านเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว ตามศักยภาพที่มีอยู่ แต่ไม่ได้หมายความว่าให้เลิกกิจการเกษตรกรรมแต่อย่างใด



พลเอกประยุทธ์ กล่าวว่า ประเทศจะกลับถอยหลังความขัดแย้งไม่ได้ อีกทั้งคนส่วนใหญ่ต้องการปฏิรูปประเทศและแก้ไขปัญหาในทุกมิติ ดังนั้นไม่อยากให้ความสำคัญมากนักกับคนพวกนี้ให้มากนัก เพราะอยู่ในช่วงความเป็นความตายของประเทศ นอกจากนี้ยังมีหลายคนไม่เข้าใจในเรื่องต่างๆ และส่งผลให้ติดไปทุกเรื่องในการใช้งบประมาณต่างๆในโครงสร้างพื้นฐานและโครงการต่างๆ ซึ่งขณะนี้ทำสิ่งที่สำคัญและหลายคนไม่สนใจ โดยหลายประเทศต่างพูดเรื่องเอสเอ็มอีกันทั้งสิ้น ดังนั้นจะต้องปฏิรูปเอสเอ็มอีให้ได้ก่อน หากพัฒนาต้องสร้างห่วงโซ่การผลิตให้เอกชนเข้ามาช่วยเหลือขับเคลื่อนไปกับรัฐบาล



นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ได้เปิดโทรทัศน์ช่องทีวีรัฐสภา พบว่าในการประชุมสภาที่มีการถกเถียงถึงเรื่องลิขสิทธิ์ โดยมีนายสมพงษ์ สระกวี สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ หรือ สปท. ได้อภิปรายว่า หลายประเทศที่เจริญเติบโตส่วนใหญ่มักมีการลอกเลียนแบบลิขสิทธิ์กันทั้งสิ้น เพราะจะเสียเวลา เสียเงินเสียทอง ใครอยากจับก็จับได้ ซึ่งการคิดแบบนี้ถือว่าตกยุค ทำให้รู้สึกหงุดหงิด เพราะหากละเมิดลิขสิทธิ์อนาคตจะเกิดอะไรขึ้น และถูกกีดกันทางการค้าจะทำอย่างไร พร้อมระบุว่า ฝืนกฎหมายประเทศยังไม่พอ ทำไมจะต้องไปฝืนกฎหมายโลกด้วย เนื่องจากฎหมายสร้างให้ทุกคนเกิดความเท่าเทียมภายใต้กฎหมายเดียวกัน เบื้องต้นได้มอบหมายให้พลเอกไพบูลย์ พิจารณาในข้อกฎหมาย



ส่วนเรื่องคดีความต่างๆนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ส่วนใหญ่มีแต่ข้าราชการ เพราะมีนักการเมืองเพียงไม่กี่คนเท่านั้น หากไม่ปฏิรูปก็จะกลับสู่วังวนเดิมในทุกเรื่องล้มเหลวทั้งหมด ซึ่งขณะนี้ใกล้เป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว และไม่ได้เป็นการขู่แต่อย่างใด ดังนั้นต้องช่วยคิดว่าจะเดินหน้าประเทศอย่างไร เพื่อข้าราชการมีศักดิ์ศรีและมีเกียรติ โดยรัฐบาลจำเป็นต้องใช้กฎหมายพิเศษ เพื่อขับเคลื่อนและเร่งรัด ไม่เช่นนั้นจะไม่เรียกว่าปฏิรูปและปฏิวัติ ซึ่งตนเข้ามาต้องการทำสิ่งเหล่านี้ ขอให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย และไม่ได้ขึ้นอยู่กับประชาชนแต่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับรัฐบาลทั้งสิ้น อีกทั้งยังมีหลายคนไม่เข้าใจ ว่าประเทศคืออะไร ติทุกเรื่อง แต่ตนเองให้สำคัญในทุกเรื่องที่ไม่เคยสนใจ แต่รัฐบาลกำหนดทุกอย่างโดยไม่ฟังเสียงใครไม่ได้ แม้เป็นรัฐบาลมาตรา 44 ก็ต้องรับฟัง ดังนั้นต้องทบทวนว่าที่ผ่านมาเกิดอะไร และจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ซึ่งรัฐบาลทำทุกวันแข่งกับเวลา ไปดูว่าตั้งแต่เข้ามาแล้วทำอะไรไปแล้วบ้าง



พลเอกประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ยุทธศาตร์ชาติเราได้เขียนถึงเรื่องการพัฒนาคน แล้วทำไมนักการเมืองถึงกลัวกัน อีกทั้งบางคนบอกไม่ต้องปฏิวัติ ไม่ต้องเข้ามา เพราะสามารถแก้ปัญหาได้ง่ายๆ แต่การปลูกจิตสำนึกคนไม่ใช่ง่ายเหมือนปลูกต้นผักชี ตนไม่ได้บังคับใครเพียงแค่เตือนเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยมีประชาธิปไตยมาตั้งแต่ 2475 ซึ่งวันนี้ยังไม่เห็นประชาธิปไตย และกลับมากลับมาตนก็โดนด่าทุกวัน หากดีอยู่แล้วใครจะมาวุ่นวาย พร้อมยืนยันว่าต่างชาติและเพื่อนบ้านชื่นชมและเชื่อมั่นว่าตนสามารถทำได้  องค์กรต่างประเทศชื่นชมและคนในประเทศกลับไม่สนใจ นำเสนอแต่ความขัดแย้ง บางคนบอกวันนี้ยังไม่ตัดสินใจเรื่องการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งหากไม่ลงก็เป็นเรื่องของท่าน อย่ามาถามตนเอง แต่ทั้งนี้ก็ต้องเตรียมแก้ปัญหาไว้ แล้วใครคิดจะช่วยบ้าง ใครเบื่อขี้หน้าตนบ้างแล้วใครรักตนบ้าง สิ่งที่ประชาชนให้ความไว้วางใจทำให้ตนมันกดดันทุกวัน ไม่รู้ต้องสู้กับสิ่งที่เกิดขึ้นได้มากน้อยแค่ไหน วันนี้บางคนค้านทุกวันไม่รู้ค้านเพื่ออะไร ค้านเพื่อไม่ให้ก้าวหน้าไปสู่ที่เดิม ค้านเพื่อให้ควบคุมได้ง่ายๆหรืออย่างไร ดังนั้นวันนี้ทุกคนต้องรวมพลังประชารัฐไปด้วยกัน ไม่ใช่มัวแต่ขัดแย้งเพราะจะมีคนมาใช้ประโยชน์ตรงนั้น



อย่างไรก็ตามในช่วงท้ายของงานนายกรัฐมนตรีได้รับฟังปัญหาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการ SMEs และกล่าวแซวว่า ถ้าตนเองเดือดร้อนจะฟ้องร้องใคร แต่ตอนนี้ตนเองไม่เดือดร้อน เพียงร้อนใจอย่างเดียว เพราะวันนี้เกษตรกร ภาคธุรกิจก็ขอ แต่เงินงบประมาณมีแค่ 2.7 ล้านล้านบาท ไม่รู้จะเอาเงินมาจากไหน แต่ก็พยายามอดทนและพยายามทำทุกอย่างให้คนไทยทั้ง 60 ล้านมีความสุขถือเป็นภาระหนักของรัฐบาล

ข่าวทั้งหมด

X