ผลการลงประชามติของสหราชอาณาจักร ว่าจะอยู่หรือออกจากกลุ่มสหภาพยุโรปหรืออียูชี้ว่า กลุ่มที่ต้องออกจากอียูมีคะแนนทิ้งห่างออกไปเรื่อย ๆ โดยผลการนับคะแนนเมื่อเวลา 10.40 น. คะแนนของกลุ่มที่ต้องการออกจากอียู อยู่ที่ 13,316,909 คะแนน ส่วนกลุ่มที่ต้องการเป็นสมาชิกอียูต่อไปมีจำนวน 12,453,633คะแนนทำให้มีคะแนนต่างกันกว่า 863,276 คะแนน และทำให้ผู้นำกลุ่มฝ่ายค้านที่ต้องการให้อังกฤษออกจากอียูแถลงชัยชนะแล้ว ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า จากจำนวนผู้ออกมาใช้สิทธิ์ออกเสียง ฝ่ายที่มีคะแนนมากกว่า 16,813,000 คะแนนจะเป็นผู้ชนะ ทั้งนี้กลุ่มชาวอังกฤษ และแคว้นเวลส์มีคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ให้ออกจากอียู ส่วนสก็อตแลนด์ ไอร์แลนด์เหนือ และกรุงลอนดอน ออกเสียงให้อยู่กับอียูต่อไป
ส่วนความเคลื่อนไหวของค่าเงินปอนด์ปรากฏว่า ในช่วงแรกที่ฝ่ายอยู่กับอียูมีคะแนนนำ ค่าเงินปอนด์แข็งค่าขึ้น แต่เมื่อฝ่ายออกจากอียูเริ่มมีคะแนนทิ้งห่าง ค่าเงินปอนด์ก็อ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว หลังจากที่นายไนเจล ฟาราจ หัวหน้าพรรคยูเคไอพี ซึ่งเป็นแกนนำกลุ่มรณรงค์ให้ออกจากอียูประกาศชัยชนะ นายจัสติน กรีนนิ่ง ผู้นำกลุ่มรณรงค์ให้อยู่กับอียูต่อไป ก็เตือนว่ายังเร็วเกินไปที่จะชี้ชัดว่าใครคือผู้ชนะ และคณะกรรมการการเลือกตั้ง ณ ศูนย์กลางการนับคะแนนที่เมืองแมนเชสเตอร์ จะเป็นผู้ประกาศอย่างเป็นทางการเมื่อการนับคะแนนจากหน่วยเลือกตั้งทั้ง 382 แห่งเสร็จสิ้น
ขณะที่นายเอ็ด มิลลิแบนด์ อดีตหัวหน้าพรรคแรงงานเตือนว่า การรณรงค์ทำให้สหราชอาณาจักรเกิดความแตกแยก และนักการเมืองต้องเป็นผู้รับผิดชอบรวมถึงสมาชิกพรรคแรงงานด้วย ที่จะต้องร่วมกันทำความเข้าและไม่สร้างความขัดแย้งเพิ่มมากขึ้น