ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ได้นัดไต่สวนคดีบำเพ็ญประโยชน์ "แพรวา" จำเลยขับรถชนรถตู้ 9 ศพ พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมคุมประพฤติ ระบุภายหลังว่า การไต่สวนในวันนี้เป็นการพูดคุยทางลับ โดยเจ้าหน้าที่กรมควบคุมประพฤติได้แถลงต่อศาล ถึงขั้นตอนการบำเพ็ญประโยชน์ที่ถูกต้อง ซึ่งในเบื้องต้นทางจำเลยและครอบครัวยินยอมที่จะเริ่มบำเพ็ญประโยชน์ใหม่ทั้งหมด ซึ่งตามเกณฑ์จะต้องทำให้เสร็จสิ้นเดือนสิงหาคม ที่จะถึงนี้ และได้เจรจาทำบันทึกข้อตกลงเรื่องสถานที่ไว้แล้ว แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ และหากจำเลยไม่สามารถปฏิบัติได้ทันภายในเวลาที่กำหนด ก็ต้องนำรายละเอียดมาแถลงต่อศาลว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป ส่วนประเด็นที่ฝ่ายจำเลย อ้างว่า ถูกเจ้าหน้าที่ข่มขู่ พ.ต.อ.ณรัชต์ ยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง อาจเป็นการเข้าใจผิด
สำหรับ น.ส.แพรวา ยินยอมทำบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ใหม่ ที่เหลือ 138 ชม. จากทั้งหมด 144 ชม. โดยเข้าใจแล้วว่าที่เคยทำไป 90 ชม.ก่อนหน้านี้ เข้าใจสถานที่และกิจกรรมโดยในวันที่ 23 ส.ค.นี้ ที่จะครบเวลารอลงอาญาและคุมประพฤติ ศาลจะพิจารณาอีกครั้งว่าจำเลยทำครบหรือไม่ หากครบจะมีคำสั่งว่าเยาวชนหญิงจำเลยพ้นจากการคุมประพฤติแล้ว
สำหรับคดีนี้ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 31 ส.ค. 2555 ว่าจำเลยมีความผิดฐานขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และทำให้ทรัพย์สินเสียหาย คำให้การในชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกเป็นเวลา 2 ปี โทษจำคุก ให้รอลงอาญาเป็นเวลา 3 ปี โดยคุมประพฤติจำเลย 3 ปี และให้รายงานตัวทุกๆ 3 เดือน พร้อมให้ทำงานบริการสังคมโดยการดูแลผู้ป่วยจากอุบัติเหตุเป็นเวลา 48 ชั่วโมง รวมทั้งห้ามจำเลยขับรถยนต์จนกว่าจะมีอายุครบ 25 ปีบริบูรณ์ ส่วนความผิดฐานใช้โทรศัพท์ขณะขับรถ ศาลพิพากษายกฟ้องเนื่องจากไม่สามารถนำสืบได้ว่าจำเลยใช้โทรศัพท์จริงหรือไม่
ขณะที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 22 เม.ย. 57 แก้เป็นว่า จากที่รอลงอาญา 3 ปี ให้ระยะเวลารอลงอาญาเป็น 4 ปี และให้บำเพ็ญประโยชน์ 48 ชั่วโมงต่อปี เป็นเวลารวม 4 ปี ส่วนโทษอื่นให้คงตามศาลชั้นต้น
ซึ่งคำพิพากษาดังกล่าวมีผลนับแต่คดีถึงที่สุดชั้นศาลฎีกา เมื่อปี 2558 โดยศาลไม่รับฎีกาของเยาวชนสาว จำเลย เนื่องจากไม่มีสาระสำคัญจะเปลี่ยนแปลง คำพิพากษาเดิม