หลังธุรกิจชื่อดัง ออกมาเคลื่อนไหวให้ลูกศิษย์วัดพระธรรมกายไปสวดมนต์ให้กำลังใจพระธัมชโยเจ้าอาวาส วัดพระธรรมกายที่อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายหรือไม่พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า เรื่องอยากให้สังคมเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่ามีหลักฐานเอาผิดได้มากน้อยเพียงใด ขณะเดียวกันได้กำชับให้ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.)ให้ลงไปดูเรื่องนี้แล้ว แต่ส่วนตัวมองว่าพฤติกรรมต่างๆได้ตอบเจตนารมย์ทั้งหมดแล้วว่าเป็นอย่างไร ซึ่งเจ้าหน้าที่ไม่ต้องการให้เกิดความไม่เท่าเทียมขึ้นและไม่ต้องการให้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมายอีกแล้ว ซึ่งเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้พยายามจะดำเนินการอย่างดีที่สุดและจะพยายามทำให้เรียบร้อย แต่อยากขอให้เข้าใจการทำงานของเจ้าหน้าที่ด้วย
พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวยืนยันว่าไม่ได้รังแกใคร แต่ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมายและไม่ได้เลือกปฏิบัติ เนื่องจากผู้ต้องหาก็เลื่อนขึ้นไปเป็นการผิดกฎหมายอื่นๆ ตามกระบวนการ ยอมรับว่าคดีดังกล่าวมีความยาก แม้ตัวคดีไม่ซับซ้อนแต่จะยุ่งยากเพราะเป็นเรื่องความเชื่อของบุคคล ดังนั้นต้องจัดการทีละเรื่อง ซึ่งอาจทำให้มาตรฐานการบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาลเสียหายได้
นอกจากนั้น อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ ยังได้รายงานให้รับทราบว่ายังมีอีก 2-3 คดีใหม่ที่จะเข้าสู่ที่ประชุมดีเอสไอ ในเร็วๆนี้ เนื่องจากมีผู้เสียหายจากคดีที่เกี่ยวข้องกับพระธัมมชโยร้องเรียนเข้ามาอีก ซึ่งคดีทั้งระบบมี 13 คดี และมี 4-5 คดีกำลังดำเนินการ ส่งผลให้การบังคับใช้กฎหมาย ตามมาทุกอย่างก็จะต้องเป็นไปตามขั้นตอน ขณะเดียวกันยอมรับว่าคดีนี้มีมานานแล้ว จะให้เสร็จในรัฐบาลนี้คงไม่สามารถทำได้
ส่วนจะให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เข้าไปตรวจสอบและอายัติทรัพย์สินของพระธัมชโยหรือไม่น้ัน พล.อ.ไพบูลย์ ระบุว่า เบื้องต้นทางปปง.ได้คุยกับดีเอสไอแล้วแต่เป็นการพูดคุยภายในระดับหน่วยงานที่ต้องมีการพูดคุยกันอยู่แล้วและได้รายงานให้รับทราบแล้ว ตามปกติคดีทั่วไปสามารถขอหมายศาลได้ แต่คดีนี้สำนวนถูกส่งไปที่อัยการแล้ว แต่ดีเอสไอยังมีอำนาจขอหมายค้นอีก และหากอัยการให้พนักงานสอบสวนไปนำตัวพระธัมมชโยมาก็มีหมายจับอยู่แล้วและยังมีอำนาจขอหมายค้นด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของเจ้าหน้าที่และศาลว่าจะใช้ช่องทางใดดำเนินการ