*ครม.มีมติรื้อคดีคลองด่าน ส่งก.คลังร้องศาลปกครอง*

หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พลตรีสรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ที่ประชุมครม. มีมติเห็นชอบให้กระทรวงการคลัง ในฐานะที่เป็นหน่วยงานราชการ ที่มีส่วนได้เสียในคดีบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน ไปร้องศาลปกครอง ให้พิจารณาคดีใหม่ เนื่องจากพบว่ามีข้อมูลหลักฐานเพิ่มเติม  โดยนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้รายงานที่ประชุม ครม. รับทราบว่า  หลังจาก คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ตรวจพบคำพิพากษาของศาลอาญาในวันที่ 17 ธันวาคม 2558 ระบุว่า บริษัทเอกชนผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน ได้มีส่วนร่วมกระทำความผิดในคดีฟ้องร้องอธิบดี รองอธิบดี ผู้อำนวยการโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน จึงเสนอ ครม.ยกเลิกการจ่ายเงินในงวดที่ 2-3 ให้กับบริษัทวิจิตรภัณฑ์ก่อสร้างกับพวก 6 คน   ยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้กลั่นแกล้งภาคเอกชนในการจ่ายเงินชดเชย และยังได้ตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว จึงคาดว่าไม่กระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน

ดังนั้นเมื่อ ครม.ได้อนุมัติกรอบวงเงินสำหรับจ่ายชดเชยตามคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดวงเงิน 10,000 ล้านบาท เพื่อจ่ายชดเชย และได้จ่ายเงินในงวดแรกไปแล้ว ดังนั้นการจ่ายเงินในงวด 2-3 จึงต้องชะลอไว้ก่อน หลังจากต้องนำส่งให้บริษัทเอกชนในวันที่ 21 พ.ค. และวันที่ 21 พ.ย.2559 งวดละ 3,000 ล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายของ ปปง.ซึ่งได้อายัดเงินดังกล่าวไว้ เพราะได้ตั้งงบประมาณเอาไว้และยังได้จ่ายในงวดแรกไปแล้ว แต่เมื่อตรวจพบว่ามีการร่วมกระทำความผิดจึงต้องชะลอการจ่ายเงินชดเชยดังกล่าวเอาไว้ก่อน และมอบหมายให้กระทรวงการคลังร้องต่อศาลปกครองใหม่

สำหรับมาตรา 75 ของพ.ร.บ.จัดตั้ง ศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง  มีการเปิดช่องว่าเมื่อคดีถึงที่สุด  หากคู่กรณี ผู้มีส่วนได้เสีย ผู้ได้รับผลกระทบ มีเหตุหลักฐานพยานข้อเท็จจริง ใหม่ สามารถร้องขอต่อศาลเพื่อให้พิจารณาคดีใหม่ได้  ซึ่งขณะนี้ทราบว่า นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะ ผู้ได้รับผลกระทบได้ยื่นคำร้องให้ศาลปกครองพิจารณาใหม่แล้ว

นอกจากนี้ที่ประชุมครม. ยังมีมติอนุมัติตามที่คณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ของบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเพื่อใช้ในการแก้ไขปัญหาหนี้ของเกษตรกร 3,000 ล้านบาท จำนวน 19,494 ราย และอนุมัติแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกร จำนวน 478 ราย ตามโครงการปรับโครงสร้างและระบบการผลิตเกษตร หรือ คปร. และโครงการแผนฟื้นฟูการเกษตร หรือ ผกก. ด้วย