การสืบพยานโจทย์ นัดที่ 7 คดีน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว จนทำให้รัฐได้รับความเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาท วันนี้(22 เม.ย.) พยานโจทก์ที่เข้ารับการไต่สวน มีเพียง 1 ปาก คือ นายสุพัฒน์ เอี้ยวฉาย ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร( ธกส.) ซึ่งเคยเข้าให้ข้อมูลกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เกี่ยวกับการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายเงินค่าจำนำข้าว ให้กับชาวนา
อัยการโจทย์ได้ซักถามนายสุพัฒน์เพิ่มเติม ในประเด็นยอดวงเงินที่ใช้ในโครงการรับจำนำข้าวรวม 5 ฤดูกาลผลิต ซึ่งพบว่ามีจำนวนกว่า 9 แสนล้านบาท เกินกว่ากรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรี(ครม.) อนุมัติ และเมื่อปิดบัญชีปี 2558 คาดว่าขาดทุนเพิ่มขึ้น โดยมีข้าวที่เหลือในสต๊อกอีก 12 ล้านตัน หากระบายไม่หมดจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มจากค่าฝากเก็บ ค่าเช่าโกดังและการรักษาข้าว ส่วนสาเหตุที่ระบายข้าวได้น้อย เนื่องจากราคาขายข้าวเป็นราคาณ.วันที่ขายตามกลไกตลาด เป็นส่วนต่างจากราคาที่รัฐบาลรับจำนำ ซึ่งมีราคาสูงกว่า ขณะที่นายสุพัฒน์ กล่าวว่า ธกส.ได้เสนอให้ปรับลดราคาข้าวจาก 1.5 หมื่น เป็น 1.2 หมื่นบาทต่อตัน และขอจำกัดยอดรับจำนำ 5 แสนบาทต่อคน ซึ่งรัฐบาลจำเลยรับข้อเสนอเฉพาะการกำหนดยอดจำนำต่อคนเท่านั้น
การสืบพยานปากนายสุพัฒน์ยังไม่เสร็จสิ้น เนื่องจากทนายจำเลยแถลงต่อศาลขอตรวจสอบเอกสารที่โจทย์ ยื่นคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับพยานปากนี้ จึงขอให้เลื่อนไปไต่สวนต่อนัดหน้า วันที่ 13 พฤษภาคม ซึ่งศาลอนุญาตตามที่ขอ นอกจากนี้ทนายจำเลยยังขอเลื่อนนัดสืบพยานจำเลย นัดแรกและนัดที่ 2 ออกไป เนื่องจากต้องใช้เวลาตรวจสอบคำเบิกความพยานโจทย์ ที่ยื่นเพิ่มเติมกว่า 6 หมื่นแผ่น ซึ่งไม่อาจทำได้ทันเวลา แต่จะบริหารจัดการพยานให้ไต่สวนเสร็จสิ้นทันภายวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2560 ที่ศาลพิจารณาและกำหนดวันไต่สวนพยานจำเลยนัดแรกวันที่ 8 กรกฎาคม 2559 โดย ทนายโจทย์ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลอออกมายเรียกนพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์มาไต่สวนหรือกำชับหรือมีมาตรการใด ๆ ตามที่ศาลเห็นสมควร เนื่องจากนพ.วรงค์ให้สัมถาษณ์กับสื่อออนไลน์เกี่ยวกับคดีจำนำข้าว กรณีข้าวถุง โดยจงใจฝืนคำสั่งศาลที่ไม่ให้ชี้นำ ซึ่งศาลพิจารณาแล้วเห็นว่านพ.วรงค์จะต้องมาเป็นพยานในคดีการระบายข้าววันที่ 27 เมษายนนี้ และศาลจะกำชับเรื่องการให้สัมภาษณ์ในวันดังกล่าว
แฟ้มภาพ