การสลับลงพื้นที่ดูการให้บริการของรถแท็กซี่ตามจุดสำคัญของเจ้าหน้าที่กรมการขนส่งทางบก บริเวณห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ นายปุณพจน์ จำปาทอง เจ้าพนักงานขนส่งชำนาญงาน กรมการขนส่งทางบก เล่าให้ฟังว่า การจัดระเบียบรถโดยสาสาธารณะในภาพรวมดำเนินงานภายใต้นโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกด้านการจราจร ในจุดที่มีการจราจร หนาแน่น จนกีดขวางเส้นทาง โดยทำหน้าที่ควบคู่กับการบังคับใช้กฎหมาย เจ้าหน้าที่ของกรมการขนส่งทางบก ออกปฏิบัติงานทุกวัน ตามจุดต่างๆ เช่นจุดที่มีผู้ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะจำนวนมากตามโครงการราชประสงค์โมเดลของกรมการขนส่งทางบก ที่ลงพื้นที่เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยในเรื่องทั่วๆไปเช่น การต่อภาษีรถ ป้ายทะเบียนรถต้องไม่เป็นป้ายแดง ความปลอดภัยของตัวรถทั้งภายนอกและภายใน ซึ่งในวันนี้จะเน้นการตรวจรถแท็กซี่ที่ปฏิเสธผู้โดยสาร หรือเลือกรับแต่ผู้โดยสารที่เป็นชาวต่างชาติ และไม่กดมิเตอร์ ย่านห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่แถวแยกราชประสงค์ เช่น เซ็นทรัลเวิลด์ ,เอ็มบีเค เซ็นเตอร์ ,ห้างสยามพารากอน ,ห้างแพลตตินั่ม ประตูน้ำ เป็นต้น ซึ่งจากที่ดำเนินการมากว่า 6 เดือน จากการตรวจสอบ และประเมินผล รวมถึงการให้ข้อมูลจากห้างสรรพสินค้า พบว่ามีการร้องเรียนแท็กซี่ปฏิเสธผู้โดยสารลดลงมากกว่าร้อยละ90 ประกอบกับห้างสรรพสินค้าให้ความร่วมมืออำนวยความสะดวกให้กับผู้โดยสาร ในการจัดจุดเรียกรถแท็กซี่ ภายในห้างสรรพสินค้าเพื่อแก้ไขปัญหานี้ ทำให้ปัญหาแท็กซี่ปฏิเสธผู้โดยสารลดลงไปมาก
นายปุณพจน์ เปิดเผยว่า ในอนาคตอาจจะพิจารณาเปลี่ยนไปตรวจสอบรถแท็กซี่ปฏิเสธผู้โดยสารในพื้นที่อื่น เช่น ย่านสีลม หรือย่านอื่นที่ได้รับเรื่องร้องเรียนบ่อยๆ ต่อไป ขณะที่การมาลงตรวจในวันนี้ตั้งแต่เวลา 17.30น. สภาพการจราจรบริเวณหน้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ มีปริมาณรถสะสมหนาแน่น เพราะเป็นช่วงเวลาที่ประชาชนส่วนใหญ่กำลังเลิกงานและเดินทางกลับบ้าน ประกอบกับสภาพการจราจรที่ติดขัดเป็นเวลานาน ทำให้รถแท็กซี่ส่วนใหญ่เลือกที่จะไม่เข้ามารับผู้โดยสารบริเวณนี้ และเมื่อมีเจ้าหน้าที่จากกรมการขนส่งทางบกลงพื้นที่ตรวจสอบความเรียบร้อยทำให้ผู้ขับรถแท็กซี่บอกต่อๆกัน จึงทำให้รถที่จะเข้ามารับผู้โดยสารมีปริมาณไม่เพียงพอต่อความต้องการ ทำให้ผู้โดยสารที่กำลังรอรถเพื่อกลับบ้านเปลี่ยนไปใช้รถไฟฟ้าแทน สำหรับการลงพื้นที่ในวันนี้ พบรถแท็กซี่กระทำผิดกฎหมาย คือ ไม่พ่นชื่อบริษัท และเลขทะเบียนข้างรถ 1 คัน มีโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท
ผู้สื่อข่าว: พนิตา สืบสมุทร