ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้ 08.30 น.
+++พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ใช้อำนาจตามมาตรา 44 สั่งย้ายนายวิมล จันทรโรทัย ตำแหน่งอธิบดีกรมประมงไปเป็นผู้ตรวจราชการพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และให้นายอดิศร พร้อมเทพ พ้นจากตำแหน่งรองอธิบดีกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
แหล่งข่าวจากกระทรวงเกษตรฯ บอกว่า เหตุผลในการย้ายนายวิมลออกจากตำแหน่งอธิบดีกรมประมงเป็นเพราะการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายหรือไอยูยูไม่มีความคืบหน้า โดยไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ รัฐบาลจึงเป็นห่วงว่า หากปล่อยให้การแก้ไขปัญหาล่าช้าอาจเกิดความเสียหายตามมา เพราะนายวิมลมีสไตล์การทำงานแบบนักวิชาการมากกว่านักปฏิบัติ อีกทั้งในเดือนสิงหาคมทางอียูจะเข้ามาชี้ขาดว่าจะให้ใบแดงไทยหรือไม่ โดยจะเข้ามาตรวจสอบความคืบหน้าในการแก้ปัญหาประมงผิดกฎหมายของไทยหลังจากได้ยืดเส้นตายให้ไทยไปอีก 6 เดือนตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์
+++ ขณะที่นายอดิศร อธิบดีกรมประมงคนใหม่ เคยเป็นทูตประจำองค์การการค้าโลกมาก่อน จึงมีประสบการณ์ในการเจรจากับต่างประเทศ และน่าจะเหมาะกับตำแหน่งนี้ ทั้งนี้ก่อนที่จะออกมาตรา 44 เปลี่ยนอธิบดีกรมประมงนั้น มีรายงานว่าในช่วงเช้าก่อนประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงเกษตรฯ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรฯ ได้เรียกนายวิมลเข้าพบเป็นการส่วนตัว เพื่อสอบถามความคืบหน้าเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาไอยูยู โดยการพูดคุยครั้งนี้พล.อ.ฉัตรชัยไม่ได้ส่งสัญญาณใดๆ ให้นายวิมลรับทราบว่าจะย้ายออกจากตำแหน่ง
+++ พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงผลการประชุมว่า ความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาประมงผิดกฎหมายทางการไทย ได้ดำเนินการไปแล้ว 36 งาน จากทั้งหมด 65 งานตามที่สหภาพยุโรป (อียู) เสนอมา ถือว่าคืบหน้าไปแล้วกว่าร้อยละ 85
+++คณะปูชนียบุคคล นำโดย ศ.ระพี สาคริก นางรตยา จันทรเทียร พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ นายอาทิตย์ อุไรรัตน์ นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ และนางรสนา โตสิตระกูล จะออกแถลงการณ์คัดค้านนโยบายเหมืองทองคำ
+++พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานประชุมคณะกรรมการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
+++นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ เป็นประธานการประชุม Innovation & Startup ร่วมกับผู้บริหารกระทรวงการคลัง ด้านดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกล่าวว่า กระทรวงวิทย์ฯร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ/เอกชน 11 หน่วยงาน ประกอบด้วยกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เครือข่ายประชารัฐและประชาคมสตาร์ทอัพไทย ร่วมกันจัดงาน “Startup Thailand 2016” ขึ้นระหว่างวันที่ 28 เมษายน-1 พฤษภาคม2559 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
+++งานนี้จะจัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Startup Unite” ซึ่งเป็นการรวบรวม Startup และหน่วยงานที่มีความเกี่ยวข้องกับ Startup ทุกภาคส่วนเป็นครั้งแรกของประเทศไทย โดยเน้นการใช้สินค้าและบริการของ Startup ในการจัดงาน อาทิ การใช้แอพพลิเคชั่นของ Startup เป็นต้น” นอกจากนี้ยังมีการเสวนาและปาฐกถาพิเศษจากทั้งในและต่างประเทศ เช่น “วิสัยทัศน์และพลังสร้างชาติด้วย Startup Thailand” โดย พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี “การขับเคลื่อน Startup Thailand: ฐานเศรษฐกิจใหม่ของไทย” โดย ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์รองนายกรัฐมนตรี
++สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน จะจับสลากโครงการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์สำหรับสหกรณ์การเกษตร (โซลาร์ฟาร์ม)
+++นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า การแก้ปัญหามาตรฐานการบินของไทย เพื่อปลดธงแดง ICAO เป็นไปตามแผน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างส่งเจ้าหน้าที่ 16 คนไปฝึกอบรมที่สถาบันการบินพลเรือนที่สิงคโปร์ และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการตรวจสอบใบรับรองผู้ดำเนินการเดินอากาศ (Re-Certification) ภายในเดือนมิถุนายนนี้และคาดว่าจะเข้าสู่กระบวนการปลดธงแดงได้ภายในต้นปีหน้า โดยระบุว่าหากการแก้ไขปัญหามาตรฐานการบินของไทยไม่สมบูรณ์ 100% ก็จะไม่เชิญ ICAO มาทำการตรวจสอบ ทั้งนี้ เพื่อให้มั่นใจว่าหากมีการตรวจสอบจาก ICAO อีกครั้งจะต้องปลดธงแดงได้ 100%
ขณะเดียวกันรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เป็นประธานพิธีลงนามสัญญาว่าจ้างระหว่าง กพท. กับบริษัท CAA INTERNATIONAL LIMITTED สหราชอาณาจักร วงเงิน153 ล้านบาท เพื่อดำเนินการตรวจสอบและประเมินการออกใบรับรองผู้ดำเนินการเดินอากาศใหม่ (Re-Certification of AIR Operator Certification) โดยมีผู้ประสานงานคณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทยและผู้เชี่ยวชาญจาก ICAO ร่วมเป็นสักขีพยาน นอกจากนี้ CAAI จะช่วยประเมินมาตรฐานและความพร้อมของไทย ว่าพร้อมหรือไม่ที่จะเข้ารับการตรวจสอบจาก ICAO อีกครั้ง เพื่อให้ไทยสามารถแก้ไขปัญหาและปลดธงแดง ICAO ได้ 100%
+++นายกฯห่วง พายุฤดูร้อนกระหน่ำหลายจังหวัดเหนือ-อีสาน ที่มีรายงานว่ามีพายุฤดูร้อนพัดกระหน่ำ โดยได้สั่งการให้หน่วยงานทุกภาคส่วนทั้งท้องถิ่น และท้องที่ ได้เร่งช่วยเหลือดูแลพี่น้องประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบจากพายุฝนรุนแรงยังแนะนำให้ทุกหน่วย ใช้โอกาสที่มีฝนตกในหลายจังหวัด ได้กักเก็บน้ำไว้ให้ได้มากที่สุด เพื่อประโยชน์ในการอุปโภค บริโภค และการเกษตร
+++ด้านนายวันชัย ศักดิ์อุดมไชย อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา กล่าวว่า จากสถานการณ์ภัยแล้งในขณะนี้ คาดการณ์ว่าเดือนพฤษภาคม สภาพอากาศจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ และจะเริ่มเข้าสู่ฤดูฝน คาดว่าปริมาณฝนจะมีมากกว่าปีที่แล้ว และจะเกิดฝนทิ้งช่วงปลายเดือนมิถุนายน ถึงต้นเดือนกรกฎาคม และหลังจากนั้น ปริมาณฝนจะกลับสู่ภาวะปกติ ทั้งนี้ คาดว่าจะเกิดพายุในปีนี้ 1-2 ลูก ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดในช่วงครึ่งหลังของฤดูฝน
ขณะที่ นายสุเทพ น้อยไพโรจน์ อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า เมื่อเข้าสู่ฤดูฝน ก็จะมีการประกาศให้เกษตรการในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาปลูกข้าวตามปกติ ส่วนเกษตรในพื้นที่ดอน จะขอความร่วมมือให้เลื่อนการปลูกข้าวไปในช่วงปลายฤดูฝนช่วงที่ฝนตกชุก ในพื้นที่ลุ่มจะเกิดความเสี่ยง แต่ได้ขออนุมัติหลักการเรื่องการระบายน้ำในแต่ละพื้นที่ พร้อมเสนอแผนในการพัฒนาพื้นที่แก้มลิงในระยะ 12 ปี รวมถึง ขออนุมัติหลักการเพื่อเข้าไปศึกษาทำเส้นทางระบายน้ำคู่ขนานกับวงแหวนแล้ว
+++พล.ต.ต.มงคล วรุณโณ ผบก.จร. ลงนามคำสั่ง กองบังคับการตำรวจจราจร เรื่องให้ข้าราชการตำรวจออกจากราชการไว้ก่อน 1. พ.ต.ท.พัทธนนท์ เกียรติไพบูลย์ สารวัตรงานสายตรวจ 1 กองกำกับการ 1 กองบังคับการตำรวจจราจร 2. ด.ต.นิธิศ ผกาแก้ว ผู้บังคับหมู่งาน สายตรวจ 1 กองกำกับการ 1 กองบังคับการตำรวจจราจร 3. ด.ต.สุวรรณ์ ทองชมพู ผู้บังคับหมู่งาน สายตรวจ 1 กองกำกับการ 1 กองบังคับการตำรวจจราจร 4. ด.ต.ลภัส ขำพร้อม ผู้บังคับสายตรวจ 1 กองกำกับการ 1 กองบังคับการตำรวจจราจร เนื่องจากกระทำรายผิดวินัยร้ายแรงจนถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวน ตามคำสั่ง กองบังคับการตำรวจจราจรที่ 206/2559 ลงวันที่ 18 เมษายน 2559
+++ด้าน พ.ต.อ.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รอง ผบก.จร. เปิดเผยว่า ได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงตำรวจทั้ง 4 นายแล้ว โดยมี พ.ต.อ.ชินวร โบราณินทร์ ผกก.6 บก.จร. เป็นประธานกรรมการตรวจสอบ โดยเบื้องต้นตรวจพบว่ามีพฤติการณ์การส่งเงินค่าปรับไม่เป็นไปตามระเบียบ มีพยานหลักฐานว่าอาจมีการทุจริต โดยทราบและดำเนินเรื่องมาตั้งแต่เมื่อช่วง ก.ย. 2558 และได้รวบรวมหลักฐานและสอบสวน พบว่า มีสมุดเขียนค่าปรับหายไปกว่า 30 เล่ม รวมมูลค่าความเสียหายประมาณหลายแสนบาท แต่ขณะนี้ยังมีหลักฐานไม่ครบจึงไม่สามารถระบุยอดความเสียหายที่แน่ชัดได้ นอกจากนี้ ถ้ามีความผิดทางอาญาก็ต้องดำเนินการตามกฎหมายมีโทษจำคุกและเรียกเงินที่เสียหายคืน