ผู้พิพากษาศาลครอบครัวรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลียระบุในคำตัดสินหนา 272 หน้าวันนี้ว่า ด.ญ.ปิปาห์ไม่ควรถูกพรากจากครอบครัวเดียวที่เธอมี เพื่อไปอยู่กับคนแปลกหน้าที่เธอไม่เคยรู้จักเลย ศาลไม่คิดว่าเธอจะเสี่ยงอันตรายจากนายเดวิด ฟาร์เนลล์ บิดาโดยสายเลือดที่เคยต้องโทษข้อหาล่วงละเมิดทางเพศเด็กมาก่อน เพราะเชื่อในหลักฐานของผู้เชี่ยวชาญที่ว่า ด.ญ.ปิปาห์มีความเสี่ยงต่ำหากอยู่กับครอบครัวฟาร์เนลล์ แต่จะมีความเสี่ยงสูงหากถูกพรากจากครอบครัวที่เธอมีความผูกพันแนบแน่นแล้ว
ศาลได้ตั้งเงื่อนไขการเลี้ยงดู ด.ญ.ปิปาห์ซึ่งขณะนี้อายุ 2 ขวบแล้วว่า ห้ามนายฟาร์เนลล์อยู่กับเด็กหญิงตามลำพัง เขาและภรรยาจะต้องแจ้งที่อยู่ต่อสำนักงานคุ้มครองเด็กของรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลียอย่างสม่ำเสมอ
ผู้พิพากษาระบุว่า ครอบครัวฟาร์เนลล์ไม่ได้ทิ้ง ด.ช.แกมมีที่เป็นแฝดกับปิปาห์ไว้ที่ประเทศไทย แต่มารดาอุ้มบุญชาวไทยเป็นฝ่ายไม่ยอมให้เด็กแก่พวกเขา โดยอ้างเมื่อกลางปี 2557 ว่าทั้งคู่ขอให้เธอทำแท้งเมื่อทราบว่าเด็กชายมีอาการดาวน์ซินโดรมและไม่ยอมรับกลับประเทศ นอกจากนี้นายและนางฟาร์เนลล์ไม่ได้ยื่นเรื่องขอเงินจากกองทุนที่ประชาชนบริจาคช่วยเหลือแกมมีมาใช้ดูแลปิปาห์หรือเป็นค่าใช้จ่ายศาลด้วย ผู้พิพากษาระบุว่า ตัดสินใจเปิดเผยคำตัดสินทั้งที่ไม่ใช่ธรรมเนียมปฏิบัติของศาลครอบครัว เนื่องจากเห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ และย้ำให้เห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อภาวะเจริญพันธุ์ของสตรีถูกนำมาเป็นสินค้าซื้อขายได้
กฎหมายออสเตรเลียห้ามการอุ้มบุญเชิงพาณิชย์ ชาวออสเตรเลียที่ต้องการมีบุตรจึงไปจ้างสตรีในต่างประเทศ ขณะที่ประเด็นกฎหมายและศีลธรรมที่เกิดจากกรณีของน้องแกมมีทำให้ทางการไทยออกกฎหมายเมื่อปีก่อนห้ามชาวต่างชาติจ้างสตรีไทยอุ้มบุญอีกต่อไป