นายจอห์น แคร์รี่ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯระบุในการแถลงข่าวเรื่องรายงานสิทธิมนุษยชนทั่วโลกประจำปี 2558เมื่อวานนี้ว่า รัฐบาลสหรัฐฯกล่าวหารัฐบาลเผด็จการทั่วโลกว่ากดขี่ประชาชนโดยการใช้ความรุนแรงและความโหดร้าย เพื่อควบคุมการเคลื่อนไหวต่างๆที่อาจจะคุกคามต่ออำนาจของพวกเขา ระบุว่ารัฐบาลที่ปฏิเสธเสรีภาพทางการเมืองย่อมจะไม่ได้รับความไว้วางใจจากสาธารณชน จึงเท่ากับเปิดประตูไปสู่การใช้วิธีการต่อต้านที่เรียกว่าอารยะขัดขืนในทุกรูปแบบ รวมถึงการใช้ความรุนแรง
นายแคร์รี่ บุว่าปีที่แล้ว การใช้ความรุนแรงต่อประชาสังคมของผู้นำเผด็จการทั่วโลกรุนแรงกว่าทุกครั้ง การปิดปากนักวิจารณ์ที่แสดงความเห็นอย่างอิสระ ใช้วาทกรรมการเมืองโจมตีฝ่ายต่อต้านรัฐบาลและการสั่งปิดสถานที่ชุมนุมประท้วงอย่างสันติ เขายกตัวอย่างบางประเทศที่ถูกวิจารณ์เรื่องนี้ว่า มีรัฐบาลเผด็จการที่ฝังอยู่ในสายเลือดทางประวัติศาสตร์คือ เกาหลีเหนือ คิวบา จีน อิหร่าน ซูดานและอุซเบกิสถาน นอกจากนี้รายงานได้ประณามกลุ่มรัฐอิสลาม(ไอเอส)ว่าทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ด้วยวิธีการที่อำมหิต ระบุว่าพื้นที่ที่มีการใช้ความรุนแรงอย่างแพร่หลายที่สุดเมื่อปีก่อนคือตะวันออกกลาง ส่งผลให้มีการแพร่หลายของกลุ่มก่อการร้ายและปัญหาขัดแย้งในซีเรียสร้างความเดือดร้อนอย่างสาหัสให้กับประชาชน รายงานระบุอีกว่ามาเลเซีย ทาจิกิสถานและตุรกี พันธมิตรนาโตของสหรัฐฯมีการใช้กำลังสกัดกั้นการเคลื่อนไหวอย่างสันติของพลเมือง โดยอ้างกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ
ขณะเดียวกัน รัฐบาลอิหร่าน อียิปต์ เคนยา กัมพูชา อูกานดา นิการากัว โบลิเวีย เวียดนาม ปากีสถานและเอกวาดอกร์ใช้กฏระเบียบด้านการบริหารและระเบียบราชการที่ล้าสมัยเพื่อเป็นเครื่องมือจำกัดเสรีภาพการชุมนุมของพลเมือง นอกจากนี้ในยุคที่มีการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อความสะดวกในการนัดหมาย หรือสื่อสารและรวมกลุ่มกันเช่นปัจจุบันนี้ รัฐบาลเผด็จการเพิ่มความพยายามที่จะที่จะนัดชุมนุมกันเช่นนั้น เนื่องจากพวกเขาหวั่นเกรงเรื่องจะถูกสาธารณชนตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐและหวั่นเกรงว่าผู้คนอาจจะชุมนุมกันในลักษณะที่พวกเขาไม่อาจจะควบคุมสถานการณ์ได้