*หาข้อเท็จจริงคนไทยเอี่ยว ปานามา เปเปอร์/จับหมดเต้นโป๊ อนาจารสงกรานต์/รพ.จุฬาปลูกถ่ายไตข้ามหมู่เลือดสำเร็จ*

ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้ 07.30น.

++ตามต่อการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีสมาคมผู้สื่อข่าวสอบสวนนานาชาติ (ไอซีไอเจ) ออกมาเปิดเผยเอกสารลับการทำงานของบริษัทแห่งหนึ่งด้านกฎหมายในประเทศปานามา ระบุถึงข้อมูลทางการเงินของคนดังทั่วโลกที่หลบเลี่ยงภาษี ด้วยการตั้งบริษัทในต่างประเทศ ผ่านสำนักงานกฎหมาย "มอสแซก ฟอนเซกา" ซึ่งมีรายชื่อเชื่อมโยงนักการเมือง ผู้นำประเทศทั่วโลก นักธุรกิจ อดีตข้าราชการ และนักร้องเพลงเพื่อชีวิตที่ผันตัวไปเป็นเศรษฐี เป็นต้น รวมทั้งมี 21 คนไทยเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า กำลังให้สอบสวนอยู่ เพราะเป็นหลักฐานที่ไม่ได้เป็นทางการ แต่มาจากสื่อมวลชน หากเป็นเรื่องจริงก็ถือว่าดีที่มีคนชี้เป้าหมายให้ จะได้จับติดคุก และจะได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง แต่ต้องมีการสรุปข้อเท็จจริงก่อน

ขณะที่ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า เราต้องเข้าใจว่าข้อมูลดังกล่าวออกมาจากสื่อ จึงเป็นเพียงข้อมูลข่าวสารเท่านั้น ยังไม่ใช่ข้อมูลที่เป็นทางการ ถ้าข้าราชการจะนำมาตรวจสอบ จำเป็นต้องเป็นข้อมูลทางราชการ แต่หากจะดำเนินการตรวจสอบ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) มีกฎหมายที่เป็นพันธกรณีเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานปราบปรามทางการเงินต่างประเทศกันอยู่แล้วว่าเป็นการโอนหรือการใช้งบประมาณไปดำเนินการทางธุรกิจ หรือเป็นเรื่องการลงทุนระหว่างประเทศ ดังนั้น หากพบว่ามีแนวโน้มเรื่องใดไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ก็ต้องใช้กฎหมายเรื่องการฟอกเงินเข้าไปจัดการ ยืนยันทุกอย่างมีขั้นตอน ได้เห็นรายชื่อแล้ว

พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ ที่ปรึกษาประจำสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน รักษาราชการแทนเลขาธิการ ปปง. ซึ่งอยู่ระหว่างเข้าร่วมประชุมกับหน่วยงาน ปปง. ที่กรุงเนปิดอว์ ประเทศเมียนมาร์ ได้ส่งเอกสารแถลงการณ์ ระบุว่า ปปง.กำลังเร่งดำเนินการประสานงานไปยังแหล่งที่มาของข้อมูล เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและความถูกต้องของข้อมูลทั้งหมดก่อน เพราะ ปปง.มีการประสานงานและบูรณาการข้อมูลกับเครือข่ายการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินข้ามชาติทั่วโลกกว่า 150 ประเทศ หากประเทศใดพบข้อมูลการฟอกเงินของกลุ่มบุคคลใด เข้าข่ายฟอกเงิน จะมีการส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องมายังประเทศที่เกี่ยวข้องกับบุคคลนั้นๆ หรือรายงานข้อมูลให้รับทราบ โดยจะแถลงเรื่องนี้ ในวันที่ 8 เมษายนนี้ เวลา 10.30 น. ณ ห้องประชุม 501 ชั้น 5 สำนักงาน ปปง.

+++ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "กรอบแนวคิดในการร่างรัฐธรรมนูญของ กรธ." ตอนหนึ่งว่า สำหรับการร่างรัฐธรรมนูญของ กรธ.ต้องเป็นไปตามกรอบที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 มาตรา 35 ซึ่งมีบางประเด็นในร่างรัฐธรรมนูญของ กรธ. ที่ถูกมองว่าโหดเหี้ยม ยอมรับว่าไม่ได้เป็นความคิดของ กรธ.แต่เป็นไปตามกรอบดังกล่าว โดยสำคัญต้องมีกลไกควบคุมการใช้อำนาจรัฐ  สิ่งที่ กรธ.เขียนเพิ่มคือบทลงโทษที่เด็ดขาด คือ หากพบการโกงงบประมาณจะมีโทษให้รัฐบาลพ้นไป และห้ามกลับมาสู่ตำแหน่งได้อีก มองว่าประเด็นดังกล่าวเป็นสาเหตุที่ทำให้นักการเมืองรณรงค์คว่ำร่างรัฐธรรมนูญ

+++กรอบกลไกไม่ให้นักการเมืองตกอยู่ภายใต้อาณัติของบุคคลใด ได้กำหนดไว้ในหน้าที่ของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในร่างรัฐธรรมนูญกำหนดหน้าที่ผูกพัน ครม. ในส่วนที่ว่าด้วยการใช้อำนาจโดยสุจริต เปิดเผย โปร่งใส และนึกถึงประโยชน์ส่วนร่วม รวมถึงคุ้มครองประชาชนทุกภาคส่วนให้สุข และสงบ ไม่ใช่คุ้มครองเฉพาะภาคที่เลือกเข้ามาทำหน้าที่ ซึ่งถือเป็นบทเรียนในอดีตที่ กรธ.นำมาบัญญัติไว้ ทั้งนี้ หาก ครม. ทำงานสุจริต โปร่งใสแล้ว เชื่อว่าจะไม่เกิดความลำบากในการปฏิบัติหน้าที่ ส่วนเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตั้งแต่ระดับรัฐมนตรี จะมีกฎหมายที่ป้องกันไม่ให้คนต่างประเทศโทรศัพท์ข้ามประเทศสั่งการ

+++ขณะที่นายมีชัยนั่งอยู่ประจำที่และมองมายังกลุ่มนักเรียนที่เคลื่อนไหวด้วยสีหน้าที่นิ่งเฉย และเมื่อเหตุการณ์สงบแล้ว นายมีชัยกล่าวขึ้นว่า เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ต้องปฏิรูปการศึกษาเพื่อให้คนมีวินัย และมีความอดทนในการรับฟังความเห็นของบุคคลอื่น ซึ่งประเด็นดังกล่าวถือว่าสำคัญมาก อย่างไรก็ตามมองว่าที่ประเทศไทยไม่เดินหน้า เพราะขาดวินัย แต่ไม่ใช่ว่าเพราะคนไทยไม่มีวินัย มองว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นอาจเกิดขึ้นเป็นระยะ เพราะทราบว่ามีบางพรรคการเมืองระดมกำลังพอสมควร

+++ส่วนการตั้งคำถามพ่วงประชามติ นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสนช. ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการสามัญพิจารณาศึกษา เสนอแนะและรวบรวมความเห็นเพื่อการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ แถลงผลการประชุมวิปสนช.ว่า ที่ประชุมวิปสนช. มีมติให้สนช.ส่งคำถามพ่วงการทำประชามติ จำนวน 1 คำถาม ซึ่งลักษณะคำถามเกี่ยวข้องกับกลไกเปลี่ยน สุดท้ายขึ้นอยู่กับที่ประชุมสนช.วันที่ 7 เมษายน ว่าจะเห็นชอบให้มีการตั้งคำถามพ่วงประชามติอย่างไร เพื่อส่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ต่อไป ซึ่งในวันที่ 6 เมษายนนี้ จะพยายามไปตกลงในรายละเอียดกับผู้ที่ยังสงวนความเห็นอยู่ เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ตรงกัน

+++ข่าวดี หลัง นพ.สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ ผอ.โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ แถลงข่าว "มอบชีวิตใหม่ให้กับผู้ป่วยโรคไต" ว่า ปัจจุบันโรงพยาบาลจุฬาฯ ได้จัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ด้านการปลูกถ่ายอวัยวะ และล่าสุดทีมแพทย์ได้นำเอาเทคโนโลนีการล้างน้ำเหลืองประเภทไม่ทำลายภูมิคุ้มกันทั้งหมดก่อนการปลูกถ่ายไตข้ามหมู่เลือด มาใช้กับคนไข้ที่รักษา ที่รพ.จุฬาฯ และประสบความสำเร็จเป็นรายแรกของอาเซียน ภายใต้การสนับสนุนของสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงออสโล ราชอาณาจักรนอร์เวย์  

+++จากเดิมการปลูกถ่ายไต ต้องทำในผู้ที่มีหมู่เลือดที่เข้ากันได้กับผู้รับบริจาคเท่านั้น แต่วิธีใหม่จะใช้ล้างและกำจัดภูมิคุ้มกันชนิดที่เป็นตัวป้องกันความแตกต่างของหมู่เลือดออกไปทั้งหมด พบว่ามีเพียง 1 % ของภูมิคุ้มกันทั้งหมดของร่างกาย ทำให้สามารถผ่าตัดปลูกถ่ายไตข้ามหมู่เลือดได้ แต่ต้องเป็นผู้แข็งแรง ทนการผ่าตัดใหญ่ได้ โดยมีแพทย์เป็นผู้ประเมิน และดำเนินการในหมู่ญาติพี่น้องตามที่กฎหมายกำหนด ดังนั้นเชื่อว่าวิธีการนี้จะช่วยคนไข้ไตวายเรื้อรังได้เพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 20 อย่างเช่น การปลูกถ่ายไตถวายเป็นพระราชกุศลในโอกาสที่สมเด็จพระเทพฯ มีพระชนมพรรษาครบ 60 พรรษา เมื่อวันที่ 2 เม.ย. ที่ผ่านมาปลูกถ่ายไตครบ 600 คน หากนำวิธีการนี้เข้าไปดำเนินการด้วยก็จะปลูกถ่ายไตได้เพิ่มขึ้นอีก 120 คน จะช่วยคนไข้ได้ 720 คน

++++นายพรชัย โชติวุฒนภิญโญ ผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายไตข้ามหมู่เลือดรายแรกของอาเซียน กล่าวว่า ตนป่วยมีภาวะไตเสื่อมจนถึงต้องฟอกเลือดเป็นเวลา 7 ปี และรับการฟอกเลือดมาแล้ว 10 เดือน ตั้งใจปลูกถ่ายไตโดยมีน้องสาวเป็นผู้บริจาคไตให้ แต่หมู่เลือดเข้ากันไม่ได้ จึงตั้งใจจะไปลงชื่อเพื่อขอรับบริจาคไต กระทั่งทราบข้อมูลว่าโรงพยาบาลจุฬาฯ สามารถเปลี่ยนถ่ายไตข้ามหมู่เลือดได้จึงตัดสินใจมาเข้ารับการรักษาที่นี่ ใช้เวลาตั้งแต่มาพบแพทย์ครั้งแรกจนปลูกถ่ายสำเร็จ 3 เดือน ตลอดช่วงเวลาได้รับการดูแลเป็นอย่างดี จึงขอขอบคุณทีมแพทย์และน้องสาวที่บริจาคไตให้ รวมถึงญาติที่ให้กำลังใจมาตลอด สุขภาพวันนี้แข็งแรงขึ้น ยอดเยี่ยมมาก เพราะหากต้องรอรับไตจากการบริจาคอาจต้องรอนานร่วม 5 ปี บางคนเร็วหรือช้ากว่านั้น เพราะมีคนบริจาคอวัยวะน้อ

+++ไกล่เกลี่ยกันจบ ระหว่าง นางประนอม แดงสุภา ผู้ก่อตั้งบริษัท กับนางศิริพร แดงสุภา บุตรสาวคนโต  สามารถจบลงด้วยดี ครอบครัวสามารถตกลงกันได้เรียบร้อยแล้ว พี่น้องได้ปรับความเข้าใจและรักกันเหมือนเดิม ด้าน นายพิสิทธิ์ ชุติพรพงษ์ชัย ทนาย ความของแม่ประนอม เปิดเผยว่า บนโต๊ะเจรจาในวันนี้ มีเพียง ม.ล.ปนัดดา แม่ประนอม และลูกสาวทั้ง 2 คนพูดคุยกัน โดยตนได้สังเกตการณ์อยู่ห่าง ๆ และผลการเจรจาเป็นไปในทิศทางที่ดีและได้ผลเป็นที่น่าพอใจ นอกจากนี้ทั้ง 2 ฝ่ายได้ทำข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษร ส่วนในรายละเอียดตนยังไม่เห็นในเอกสาร พร้อมขอให้แม่ประนอมเป็นผู้เปิดเผยคนเดียวเท่านั้น ส่วนเรื่องคดีความจะสามารถถอนฟ้องได้ตั้งแต่วันที่ 6 เม.ย.

+++นายกรัฐมนตรีรณรงค์ "สงกรานต์แบบไทย ใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า" พร้อมกล่าวด้วยว่า การเล่นน้ำสงกรานต์ห้ามไม่ได้ เพราะคนอยากเล่นกัน แต่เมื่อชาติมีปัญหาคนในชาติต้องช่วยกัน ไม่ใช่รอแต่รัฐบาล รัฐบาลทำวันนี้เพื่อวันข้างหน้า อยากให้เล่นสงกรานต์ตามประเพณี ถ้าทำผิดกฎหมายตนไม่ยอม การเล่นสงกรานต์ต้องระมัดระวังอย่าสร้างความเสียหาย หากมีอนาจาร ต้องติดคุกอย่างเดียวเท่านั้น อย่าให้ต่างประเทศมาว่าเราได้ เบื้องต้นได้สั่งการไปแล้วว่า จะต้องไม่มีผู้หญิงที่แต่งกายไม่เรียบร้อย แล้วไปเต้นเปิ๊ดสะก๊าดอยู่บนรถ จะต้องจับทันทีไม่เว้นแม้แต่สาวประเภทสอง รวมถึงเจ้าของรถด้วย ส่วนเรื่องของวันหยุดสงกรานต์ ย้ำหยุดตั้งแต่วันที่ 13-17 เมษายน