ในระหว่างวันที่ 21-24 มีนาคมนี้ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ร่วมด้วยรัฐมนตรีเศรษฐกิจและภาคเอกชนไทย จะไปเยือนเกาหลีใต้เพื่อเจรจาเพิ่มช่องทางการค้าและการลงทุน ถือเป็นการฟื้นความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญ เพราะแม้ว่าไทยจะมีความสัมพันธ์กับเกาหลีใต้มานาน แต่ในด้านเศรษฐกิจยังมีความร่วมมือกันน้อยมาก โดยกลุ่มธุรกิจเป้าหมายหลักที่ไทยจะไปเชิญชวนนักลงทุนเกาหลีใต้ คือ กลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ในอนาคต (New S-Curve) ซึ่งเกาหลีใต้มีศักยภาพสูง อาทิ กลุ่มดิจิตอล เทคโนโลยีและสารสนเทศ (ไอซีที) เทเลคอม อุตสาหกรรมไฮเทคและหุ่นยนต์ เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ (ครีเอทีฟ อีโคโนมี) นอกจากนี้จะะไปดูงานที่แหล่งอุตสาหกรรม เมืองปูซาน
ทั้งนี้ รัฐบาลให้นโยบายกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ไปว่านอกจากพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของเอกชนแล้ว กนอ.ยังสามารถนำพื้นที่ใดในจังหวัดชลบุรี มาพัฒนาเพื่อรองรับนักลงทุนจากเกาหลีใต้ได้บ้าง เพราะที่ผ่านมาได้พบกับเอกอัครราชทูตเกาหลีใต้ก็ระบุว่าต้องการให้ไทยหาพื้นที่ให้กับนักลงทุนเกาหลีใต้โดยเฉพาะ
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ภายในเดือนมีนาคมนี้ กระทรวงการคลังจะสรุปมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายช่วงสงกรานต์เสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งในเบื้องต้นจะเป็นมาตรการลดหย่อนภาษีจากค่าใช้จ่ายในการรับประทานอาหารและท่องเที่ยวตลอด 2 สัปดาห์ช่วงเทศกาลสงกรานต์ คล้ายกับมาตรการลดหย่อนภาษีจากการซื้อสินค้าและบริการเมื่อช่วงปลายปี 2558 ซึ่งนายอภิศักดิ์ กล่าวว่า มาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อให้คนไทยเที่ยวในประเทศ โดยเฉพาะวันสงกรานต์ที่เป็นวันของครอบครัว และกระตุ้นให้ร้านค้าต่างๆ ให้ความสนใจเข้าระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) มากขึ้น เห็นได้จากมาตรการลดหย่อนดภาษีจากการซื้อสินค้าและบริการช่วงก่อนปีใหม่ ซึ่งค่าใช้จ่ายที่นำมาลดหย่อนภาษีนั้นต้องมีเป็นใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ ถ้าร้านค้าใดต้องการผลประโยชน์จากมาตรการนี้ก็ควรจะมาเข้าระบบภาษีให้ถูกต้อง
ทั้งนี้ ในช่วงปีใหม่ที่ออกมาตรการให้นำรายจ่ายการซื้อสินค้าและบริการนั้น ทำให้สูญเสียรายได้จากการคืนภาษีประมาณ 4,000 ล้านบาท แต่สิ่งได้กลับมาคือกระตุ้นการใช้จ่ายให้คึกคัก และทำให้กรมสรรพากรเก็บแวตมากขึ้น
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติเห็นชอบให้ไทยลดภาษีศุลกากรภายใต้ความตกลงว่าด้วยการค้าสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศ (ITA Expansion) ซึ่งเป็นความตกลงฉบับใหม่ที่ขยายขอบเขตการลดภาษี และเพิ่มจำนวนสินค้าให้มากขึ้น โดยไทยจะลดภาษีสินค้าไอที 524 รายการเป็น 0% แต่จะมีระยะเวลาในการลดภาษีแตกต่างกัน คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ภายในวันที่ 1 กรกฎาคม 2559 ภายใต้ความตกลงนี้ จะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวร้อยละ 0.66 และประหยัดภาษีนำเข้าได้ประมาณ 4,700 ล้านบาท
วันนี้ เป็นวันสุดท้ายที่บริษัท แจส โมบาย บรอดแบรนด์ จำกัด ต้องชำระเงินงวดแรก 8,040 ล้านบาท และหนังสือค้ำประกันทางการเงิน (แบงก์การันตี) อีก 67,600 ล้านบาท ให้กับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จากการที่เป็นผู้ชนะการประมูลใบอนุญาต 4จี คลื่นความถี่ย่าน 900 เมกะเฮิรตซ์ มูลค่า 75,654 ล้านบาท ซึ่งหากไม่นำเงินมาชำระตามที่กำหนด จะถูกยึดเงินหลักประกัน 644 ล้านบาท และต้องชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมดจากการประมูล 4จี ด้วย จากนั้น กสทช.จะต้องเปิดประมูลใหม่ในราคาเริ่มต้นที่ 75,000 ล้านบาท เท่าราคาประมูลเดิม
ซึ่งก่อนหน้านี้มีการวิเคราะห์ว่าแจส โมบายอาจไม่สามารถชำระเงินได้ เพราะการประกาศซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 6,000 ล้านบาท ทำให้ฐานะการเงินของแจสแย่ลง
ส่วนที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ วันนี้ พนักงานสอบสวนจะหารือเรื่องการสอบปากคำสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เมื่อวันที่ 16 มีนาคม กรณีครอบครองรถโบราณ ซึ่งจะมีการยืนยันกับ พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมด้วยว่า แนวทางการสอบสวนเป็นการใช้แบบฟอร์มเหมือนคดีทั่วไปตั้งแต่ประวัติส่วนตัว ชื่อ นามสกุล อาชีพ จากนั้นถามที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ ชื่อบุคคล ที่มอบรถให้ ซึ่งหากคำถามใดที่สมเด็จช่วงตอบไม่ได้ หรือจำไม่ได้ ก็สามารถตอบเป็นลายลักษณ์ตามหลังมาก็ได้ แต่อธิบดีดีเอสไอยืนยันว่าไม่สามารถส่งคำถามให้ล่วงหน้า
ส่วนคดี นายเจนภพ วีรพร ผู้ก่อเหตุขับรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ ชนรถฟอร์ดทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 ศพ เมื่อวันที่ 13 มีนาคม ที่ผ่านมา พล.ต.ต.สุทธิ พวงพิกุล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เปิดเผยว่า ได้พิจารณาแจ้งข้อหากับนายเจนภพเพิ่มเติม คือ ขับรถในขณะหย่อนความสามารถ โทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับ 2,000- 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่ต้องสอบปากคำพยาน ทางการแพทย์ พยาบาล รวมถึงตำรวจ เพื่อนำมาพิจารณาว่ามีน้ำหนักเพียงพอที่จะแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มได้หรือไม่ ซึ่งในส่วนผู้ต้องหาจะยอมรับข้อกล่าวหาหรือไม่ ก็เป็นสิทธิที่จะต่อสู้ หาพยานหลักฐานมาหักล้างตาม ขั้นตอนทางกฎหมาย ก่อนหน้านี้ ตำรวจแจ้งข้อหานายเจนภพไปแล้ว 2 ข้อหา คือ ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงาน และขับรถมึนเมาเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย อัตราโทษจำคุก 3-10 ปี โดยศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้อนุมัติให้ฝากขังนายเจนภพผัดแรกเป็นเวลา 12 วัน แต่ผู้ต้องหาได้ยื่นหลักทรัพย์ขอประกันตัว จำนวน 200,000 บาท ศาลอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว กำหนดเงื่อนไขการประกันตัว 4 ข้อ คือ ห้ามเดินทางออกนอกประเทศ ยึดใบขับขี่รถ ยึดใบอนุญาต และต้องไปรายงานตัวต่อศาลตามที่กำหนด
และในวันนี้จะมีการประชุมร่วมของกองพิสูจน์หลักฐานกับผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงตัวแทนของบริษัทรถยนต์ เพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับความเร็วของรถในขณะเกิดเหตุ รวมทั้งพฤติกรรมของผู้ขับขี่ จากนั้นจะส่งความเห็นทั้งหมดให้กับพนักงานสอบสวนเพื่อนำไปประกอบสำนวนการสอบสวนและพิจารณามีความเห็นทางคดีต่อไป
ในวันนี้ พล.อ.กัมปนาท รุดดิษฐ์ ผช.ผบ.ทบ.ผู้แทน ผบ.ทบ. เป็นปธ.แถลงข่าวการตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ารับราชการทหารกองประจำการ ประจำปี 2559
ส่วนที่กระทรวงพลังงาน พลเอกอนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม “รวมพลังคนไทย ลดพีคไฟฟ้า”
*-*