การเดินทางเยือนสาธารณรัฐอินเดียอย่างเป็นทางการ ของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโห พร้อมคณะ ระหว่างวันที่ 17-18 มี.ค.2559
พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร ได้เดินทางไปมอบนโยบายแก่ทีมไทยแลนด์ ในการวางรากฐานและสร้างความเข้มแข็งภายในประเทศ สู่ความมั่นคงและมั่งคั่งควบคู่กันไป ด้วยการกำหนดยุทธศาสตร์ประเทศ 20 ปีและขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศตามแผน โดยให้ความสำคัญกับแผนระยะ 5 ปีแรก ส่วนความร่วมมือกับ อินเดีย ได้หารือร่วมกันถึง ศักยภาพของทั้งสองประเทศ ที่จะยกระดับความร่วมมือด้านความมั่นคงและเพิ่มพูนการค้าการลงทุนระหว่างกันให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น ในโอกาสครบ 70 ปีความสัมพันธ์ทางการทูต ปี 2560 และการเดินทางของ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีพร้อมนักลงทุนชาวไทยหลังจากนี้ จะเป็นการเตรียมการ ก่อนการเดินทางเยือนอินเดียอย่างเป็นทางการของพล.อ.ประยุทธ์ จะนทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในเดือนเม.ย.59 ซึ่งถือเป็นพัฒนาความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศที่ชัดเจนยิ่ง ถึงความตั้งใจและจริงใจระหว่างกัน สอดคล้องกับนโยบาย Act East ของอินเดียและ Look West ของไทย ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อประชาชนทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะ ภัยคุกคามที่สำคัญของทั้งสองประเทศประกอบด้วย ปัญหายาเสพติด การก่อการร้ายและอาชญกรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะการก่ออาชญกรรมทางไซเบอร์ ซึ่งสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจและผลประโยชน์ของประเทศชาติ รวมทั้งปัญหาความมั่นคงทางทะเล ซึ่งเป็นแหล่งซ่องสุมของผู้ก่อความไม่สงบ
รองนรม.และรมว.กห.และคณะ ได้ตรวจแถวของกองทหารเกียรติยศ ณ กระทรวงกลาโหมอินเดีย และเข้าเยี่ยมคำนับ นาย Monohar Parrikar ( มาโนฮาร์ พาร์ริการ์ ) รมว.กห.อินเดีย ณ อาคารรับรอง โดยได้หารือถึงความร่วมมือทางทหารที่มีร่วมกันมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการแลกเปลี่ยนการเยือน การฝึก ศึกษาร่วมกัน ซึ่งกห.อินเดียพร้อมที่จะขยายความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและสนับสนุนไทยในการจัดฝึกอบรม ถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ แก่เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยในด้านการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์และการก่ออาชญกรรมทางไซเบอร์ รวมทั้งสนับสนุนการจัดเรือเข้าร่วมสวนสนามทางเรือ ที่ไทยจะจัดขึ้นในโอกาสครบ 70 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูต ในปี 60 ทั้งนี้ ไทยก็พร้อมที่จะแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารความมั่นคงและความร่วมมือด้านความมั่นคงทางทะเล โดยเฉพาะการรักษาความปลอดภัยเส้นทางเดินเรือในช่องแคบมะละกา โดยทั้งสองฝ่ายจะจัดตั้งคณะกรรมการร่วมกัน ในการพิจารณาหารือการดำเนินงานร่วมกันต่อไป เพื่อความสงบสุขร่วมกันของภูมิภาค