*รบ.กำหนดกรอบวินัยการเงินการคลัง/เอสเอ็มอีเร่งลดต้นทุนรายได้ต่ำกว่าที่คาด/น้ำมันโลก–ทองคำลดลง*

16 มีนาคม 2559, 08:07น.


+++ร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)การเงินการคลังของรัฐ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ควบคุมการใช้จ่ายของรัฐบาล นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ร่าง พ.ร.บ.การเงินการคลังของรัฐ และ พ.ร.บ.วิธีงบประมาณ ที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)อนุมัติควบคู่กันเป็นกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่กำลังร่างอยู่ ซึ่งจะกำหนดกรอบวินัยการเงินการคลังไว้ โดยที่ พ.ร.บ.ฉบับนี้จะกำหนดวินัยการเงินการคลังเป็นการทั่วไปไว้ 6 ด้าน คือ ด้านรายได้ ด้านรายจ่าย ด้านการจัดทำงบประมาณ ด้านการก่อหนี้ ด้านบริหารสินทรัพย์ และด้านการบริหารจัดการเงินนอกงบประมาณ โดยกำหนดว่า หนี้สาธารณะจะต้องไม่เกินร้อยละ 60 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) กำหนดกรอบการใช้งบกลางว่าจะต้องใช้อย่างไร จำนวนเท่าไหร่ กำหนดวงเงินการชำระหนี้ในแต่ละปีว่าจะต้องชำระคืนกี่เปอร์เซ็นต์ โดยรายละเอียดจะชัดเจนขึ้นหลังจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแก้ไข



+++เรื่องราคาอาหารและน้ำดื่ม ในวันพรุ่งนี้ น.ส.วิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ จะเชิญผู้บริหารบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. มาหารือเพื่อขอความร่วมมือให้ปรับลดราคาอาหารและน้ำดื่มที่จำหน่ายภายในสนามบินหลังจากมีประชาชนร้องเรียนเข้ามาจำนวนมากว่าแพงกว่าท้องตลาดมาก เบื้องต้นจะเข้าไปดู 2 รายการ คืออาหารสำเร็จรูป (อาหารกล่อง) และน้ำดื่ม เรื่องราคาอาหารต้องยอมรับก่อนว่าราคาที่จำหน่ายในสนามบิน จะต้องสูงกว่าท้องตลาดทั่วไป มีค่าเช่าพื้นที่แพงกว่า แต่ก็ควรต้องมีทางเลือกให้ประชาชนที่มาใช้บริการด้วย ดังนั้นจะขอความร่วมมือให้เพิ่มจุดจำหน่าย ส่วนน้ำดื่มบรรจุขวดนั้นจากการตรวจสอบราคาที่ขายภายในสนามบินดอนเมืองพบว่าขายอยู่ที่ขวดละ 17 บาทซึ่งท้องตลาดขายขวดละ 7 บาท ราคาก็ควรลดลงมาเหลือแค่ขวด 12 บาท ซึ่งน่าจะคุ้มทุนกับค่าเช่าพื้นที่



+++ส่วนการดูแลสินค้าอุปโภค กรมการค้าภายใน เตรียมหารือสมาคมที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงหมู ไก่ และไข่ไก่ เพื่อประเมินสถานการณ์ผลผลิตและราคาเพื่อกำหนดแผนรับมือที่อาจได้รับผลกระทบจากภาวะภัยแล้ง เบื้องต้น พบว่าราคาไข่คละหน้าฟาร์มปัจจุบันได้ราคาสูงขึ้นจากฟองละ 2.79 บาท มาอยู่ที่ฟองละ 2.90 บาท โดยไข่ไก่เบอร์ 3 ซึ่งเป็นเบอร์ยอดนิยมที่ผู้ประกอบการอาหารจานด่วนนำมาใช้ปรุงอาหารราคาเพิ่มขึ้นจากฟองละ 3.24 เป็นฟองละ 3.3 บาท คาดว่าเดือน เม.ย.-พ.ค. ที่สถานศึกษาปิดภาคเรียนน่าจะมีการบริโภคลดลง ทำให้ราคาจะปรับตัวลดลงมา



+++พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประชุมคณะกรรมการปาล์มน้ำมันแห่งชาติ



+++นายเกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เปิดเผย ผลสำรวจผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) ทั่วประเทศ ใน 29 กลุ่มอุตสาหกรรม จำนวน 437 ราย พบว่า ผู้ประกอบการร้อยละ 51.9เห็นว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกปีนี้ แย่ลงถึงแย่มาก จากไตรมาส 4/2558 คาดหวังเศรษฐกิจไทยดีขึ้นในไตรมาส 2 ภาพรวมมองว่า ธุรกิจเอสเอ็มอี ยังไหวอยู่ แต่เป็นลักษณะประคองตัว เพราะยังไม่เห็นสัญญาณเลิกกิจการและอัตราว่างงานสูงขึ้น แต่เห็นสัญญาณการขยายตัวของธุรกิจเอสเอ็มอีต่ำลง คาดจีดีพีเอสเอ็มอีไตรมาสแรกขยายตัวร้อยละ 0.8 และขยับเป็นร้อยละ 2 ในไตรมาส 2 และดีขึ้นครึ่งปีหลัง



+++ส่วนรายได้ของผู้ประกอบการเมื่อเทียบกับที่คาดหวังไว้ พบว่า เอสเอ็มอีเพียงร้อยละ 9.2 รายได้ดีกว่าคาดไว้ ขณะที่ร้อยละ 57.8 รายได้ต่ำกว่าคาดหวัง



+++แนวทางการทำธุรกิจที่ผู้ประกอบการจะใช้ในไตรมาส 2/2559 เรื่องแรกคือลดต้นทุนในการทำธุรกิจ รองลงมาคือใช้สื่อออนไลน์ในการทำตลาด ส่งเสริมการตลาดเชิงรุก และเน้นแก้ปัญหาสภาพคล่อง 



+++ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ระบุว่า ปัจจัยกระทบต่อการทำธุรกิจช่วงครึ่งปีแรก คือปัญหาเศรษฐกิจซบเซา และภัยแล้งกระทบต่อรายได้และกำลังซื้อรากหญ้าหายไป ตามด้วยเอสเอ็มอีต่างชาติโดยเฉพาะในอาเซียนเข้ามาแข่งขันมากขึ้น และต้นทุนค่าแรงไทยสูงขึ้น เพราะปัญหาขาดแคลนแรงงานคุณภาพ รวมถึงเศรษฐกิจโลกกระทบต่อการส่งออก 



+++ความเคลื่อนไหวราคาน้ำมันในตลาดโลก สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสอินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนเมษายน ลดลง 84 เซนต์ ปิดที่ 36.34 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอนงวดส่งมอบเดือนพฤษภาคม ลดลง 79 เซนต์ ปิดที่ 38.74 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล  น้ำมันดิบฟื้นตัวจากระดับต่ำในเดือนมกราคม ท่ามกลางการพูดคุยถึงความเป็นไปได้ในการตรึงกำลังผลิตที่นำโดยรัสเซียและซาอุดีอาระเบีย



+++ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดผสมผสาน ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 22.40 จุด ปิด 17,251.53 จุด เอสแอนด์พี ลดลง 3.71 จุด ปิดที่ 2,015.93 จุด แนสแดค ลดลง 21.61 จุด  ปิดที่ 4,728.67 จุด นักวิเคราะห์ ระบุว่า ปัจจัยที่ทำให้หุ้นปิดผสมผสาน มาจากรายงานยอดค้าปลีกที่อ่อนแอของสหรัฐฯและราคาน้ำมันที่ปรับลด พร้อมทั้งติดตามการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) มีการความคาดหมายว่าเฟดคงไม่ขึ้นดอกเบี้ย



+++ส่วนตลาดหลักทรัพย์ไทยปิดตลาดเมื่อวานนี้ที่ 1,382.93 จุด ลดลง 11.34 จุด มูลค่าการซื้อขาย 44,431.34 ล้านบาท นักวิเคราะห์ มองว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ต่างติดลบ ประกอบกับมีแรงขายกลุ่มสื่อสาร และพลังงาน เนื่องจากราคาน้ำมันได้ปรับฐานลง หลังจากที่การประชุมโอเปคกับรัสเซียจะเลื่อนออกไปเป็นเดือนหน้า



+++ราคาทองคำ ปิดลบ 3 วันติด แตะระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ นักลงทุนจับตาอย่างระมัดระวัง ทองคำตลาดโคเม็กซ์ลดลง 14.10 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,231.00 ดอลลาร์ต่อออนซ์



+++เช้านี้ นายกรัฐมนตรี ประชุมวิชาการและนิทรรศการอุตสาหกรรมระบบขนส่งทางรางไทย ครั้งที่ 2 เรื่อง ผลิตชิ้นส่วนระบบรางอย่างไรให้ได้มาตรฐาน ที่สถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิ้งค์ มักกะสัน



+++ส่วนภารกิจที่ทำเนียบรัฐบาล นายวลาดิมีร์ อันเดรเชนโก (Vladimir Andreichenko) ประธานสภาผู้แทนราษฎรสาธารณรัฐเบลารุส เยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี ในโอกาสการเดินทางเยือนประเทศไทยของประธานสภาผู้แทนราษฎรสาธารณรัฐเบลารุส ระหว่างวันที่ 15-18 มีนาคม ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล



+++หลังจากที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแห่งเมียนมาและวุฒิสภาแห่งเมียนมา ลงคะแนนเลือกนายติน จอ วัย 69 ปี ส.ส.คนสนิทของนางออง ซาน ซู จี หัวหน้าพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย(เอ็นแอลดี) ขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนล่าสุด และมีพิธีปฏิญาณตนก่อนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีในวันที่ 30 มี.ค. ต่อจากพล.อ.เต็ง เส่ง ที่จะหมดวาระในวันที่ 31 มี.ค. พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า นายติน จอ ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีที่มาจากพลเรือนคนแรกของเมียนมาว่า เป็นประชามติของประชาชนจากการเลือกตั้ง เป็นไปตามกฎหมายทุกประการ ความสัมพันธ์ไทย-เมียนมา ดีอยู่แล้ว แสดงความยินดีกับประธานาธิบดีเมียนมาคนใหม่

ข่าวทั้งหมด

X