*พล.อ.ประวิตร แจงเหตุทหารคุมตัววัฒนา/อุดม เฟื่องฟุ้ง รับเป็นทนายให้พล.ร.อ.พะจุณณ์/ทำเนียบเริ่มใช้มาตรการรักษาความปลอดภัย *

+++ความคืบหน้าการดำเนินคดี พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป อดีตสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ อดีตหัวหน้าสำนักงานมูลนิธิรัฐบุรุษฯ ในความผิดตามพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ โดยตำรวจออกหมายเรียกให้มาพบพนักงานสอบสวนในวันที่ 10 มี.ค. หลังมีข้อความแชตทางแอปพลิเคชันไลน์กล่าวหา พล.อ.รายหนึ่ง เข้ามาเกี่ยวข้องในการซื้อขายตำแหน่งในการแต่งตั้งตำรวจ เป็นที่น่าสนใจมากขึ้น เมื่อนายอุดม เฟื่องฟุ้ง อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และอดีตรองประธานศาลฎีกา เข้ามาเป็นทนายความให้ พล.ร.อ.พะจุณณ์

+++นายอุดม เปิดเผยว่า ที่รับหน้าที่เป็นทนายความให้ก็เพราะตัวเองเป็นต้นเหตุของปัญหา เนื่องจากเป็นคนเชิญให้ พล.ร.อ.พะจุณณ์ เป็นประธานคณะอนุกรรมาธิการด้านการปฏิรูปตำรวจของสปช. เพราะเห็นว่ามีศักยภาพ มีความเสียสละ และพร้อมที่จะรับต่อแรงเสียดทาน การปฏิรูปตำรวจเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งก็ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ มองว่าให้ความสำคัญและมีความตั้งใจในการทำงานเกิน 100% เท่าที่รับทราบขณะนี้ยังไม่มีหนังสือ จากตำรวจมาถึง พล.ร.อ.พะจุณณ์ และเมื่อได้เห็นหนังสือแล้ว ก็ต้องพิจารณาว่าเชิญไปพบในฐานะใด และได้แนะนำให้งดการให้สัมภาษณ์เพื่อจะได้รวบรวมข้อมูล

+++พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึง กรณีที่เจ้าหน้าที่ทหารเดินทางไปยังบ้านพักของนายวัฒนา เมืองสุข อดีตแกนนำพรรคเพื่อไทย ในช่วงเช้าวันนี้เพื่อเตรียมเชิญตัวมาปรับทัศนคติที่ มทบ.11  ว่า นายวัฒนาไปพูดอะไรไว้ ทำอะไรไว้  ต้องเรียกมา เพราะพูดไม่จริง ส่วนคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)จะเชิญตัวไปปรับทัศนคติกี่วัน ไม่ทราบเป็นเรื่องของ คสช.

 +++รายงานระบุว่า เมื่อช่วงเช้านี้ เจ้าหน้าที่ทหารได้เดินทางไปที่บ้านพักของนายวัฒนา บ้านเลขที่ 318 หมู่บ้านสินเก้า ถนนศรีนครินทร์ แขวงหนองบอน เขตประเวศ หลังโพสต์เฟซบุ๊กวิจารณ์แกนนำคสช. ที่ส่งทหารประกบ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยมองว่า เป็นการไปละเมิดความเป็นส่วนตัวอดีตนายกรัฐมนตรี นอกจากนี้ สาเหตุที่ถูกปรับทัศนคติ เนื่องจากเมื่อวันที่ 1 มี.ค. นายวัฒนา โพสต์เฟซบุ๊กต่อว่า พล.อ.ประวิตร พูดจาไม่ให้เกียรติ น.ส. ยิ่งลักษณ์  ที่ถูกทหารบุกเข้าถ่ายภาพกลางงานศพพี่ชายของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตรองนายกรัฐมนตรี

+++ส่วนการยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัย ทำเนียบรัฐบาล   เริ่มแล้วในเช้าวันเดียวกันนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ กองกำกับการ 4 กองบังคับการตำรวจสันติบาล 3 ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่ภายในประจำทำเนียบรัฐบาลทั้งหมด เริ่มจัดระเบียบในส่วนของการจราจรทั้งในและรอบทำเนียบรัฐบาล โดยห้ามรถที่ไม่มีสติ๊กเกอร์ที่ได้รับอนุญาตผ่านเข้า-ออกทำเนียบรัฐบาล เข้ามาในพื้นที่ ทำเนียบรัฐบาล โดยเด็ดขาด พร้อมกับกำหนดพื้นที่จอดรถตามสีของสติ๊กเกอร์ ที่อนุญาตให้เข้าออกทำเนียบฯ อาทิ สติ๊กเกอร์ของสื่อมวลชนเป็นสีม่วง จะได้รับอนุญาตให้จอดบริเวณริมรั้วด้านหน้าทำเนียบรัฐบาลเท่านั้น โดยมีการกั้นพื้นที่ด้วยแผงเหล็กกำหนดเป็นจุดจอดอย่างชัดเจนโดยที่ไม่อนุญาตให้จอดนอกจุด ส่วนสติ๊กเกอร์สีอื่นที่เป็นคนในรัฐบาล คณะทำงาน ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ จะถูกจัดพื้นที่ไว้เป็นสัดส่วนเฉพาะเช่นกัน ส่วนรถขบวนของรัฐมนตรีและผู้ติดตามแม้ว่าจะมาประชุมที่ทำเนียบ ก็ห้ามจอดบริเวณรอบตึกไทยคู่ฟ้า แม้แต่คันเดียวเช่นกัน

+++มีรายงานข่าวจากฝ่ายรักษาความปลอดภัยจากทำเนียบรัฐบาลว่า ความจริงแล้วฝ่ายรักษาความปลอดภัยมีความเห็นค่อนข้างตรงกันแต่ไม่กล้าที่จะเสนอ คืออยากจะเสนอให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยกเลิกการจัดตลาดคลองผดุงกรุงเกษมที่ด้านข้างทำเนียบรัฐบาล เนื่องจากเป็นจุดสุ่มเสี่ยงไม่น้อย เพราะประชาชน รวมถึงนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติสามารถเดินผ่านเข้ามาเยี่ยมชมและซื้อสินค้าในตลาดได้ แม้จะมีการตั้งเครื่องสแกนหาวัตถุต้องสงสัยในการป้องกัน แต่ก็ต้องเสียกำลังตำรวจมานั่งเฝ้าตลาดในหลายจุด อีกทั้งพื้นที่จัดตลาดเองก็อยู่ติดกับตึกบัญชาการ 1 และ 2 ที่เป็นที่ทำงานของรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีประจำสำนักนายก คณะทำงานของรัฐบาล และห้องประชุมคณะรัฐมนตรีด้วย จึงอยากเสนอให้นายกรัฐมนตรี พิจารณาการยกเลิกตลาดภายในทำเนียบรัฐบาลแล้วไปหาสถานที่จัดที่อื่นจะได้หรือไม่ เพื่อลดภาระในการรักษาความปลอดภัย

+++บ่ายนี้ ฝ่ายกฎหมายวัดปากน้ำภาษีเจริญ จะเข้าพบ พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) เพื่อให้ข้อมูลประกอบการชี้แจงเรื่องรถเบนซ์จดประกอบผิดกฎหมาย ที่มีชื่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ สมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ เป็นผู้ครอบครอง

+++ผลการเลือกตั้งขั้นต้นของสหรัฐอเมริกาใน 11 รัฐที่เรียกว่า ซูเปอร์ทิวส์เดย์ ปรากฏว่า นางฮิลลารี คลินตัน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ จากพรรคเดโมแครต และนายโดนัล ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกันได้ ได้รับชัยชนะหลายรัฐ โดยผู้ชนะที่เป็นตัวแทนพรรค จะลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีที่จะมีขึ้นในวันที่ 8 พฤศจิกายนนี้

+++สำหรับผลคะแนนของพรรคเดโมแครต นางคลินตัน ได้รับชัยชนะ 7 รัฐ คือรัฐจอร์เจีย ได้คะแนนร้อยละ 71.2 , เวอร์จิเนีย ร้อยละ 64.2 , อลาบามา ร้อยละ 78.5 ,แมสซาชูเซสต์ ร้อยละ 50.8 , เทนเนสซีร้อยละ 65.9 , เท็กซัส ร้อยละ 67.4 และอาคันซอส์ 68.2

+++นายเบอร์นี แซนเดอร์ ได้รับชัยชนะที่รัฐเวอร์มอนต์ คะแนนร้อยละ 86.2 , โอกลาโฮมา ร้อยละ 51.9 , มินเนโซตา ร้อยละ 59.3 , โคโลราโดร้อยละ 59.3

+++ส่วนพรรครีพับลิกัน นายทรัมป์ ชนะ 7 รัฐคือรัฐจอร์เจีย ได้คะแนนร้อยละ 39.6 , เวอร์มอนต์ได้ร้อยละ 32.2 , เวอร์จิเนีย ร้อยละ 34.8 , อลาบามา ได้ร้อยละ 44.1 ,แมสซาชูเซสต์ ร้อยละ 48.8 ,เทนเนสซี ร้อยละ 40.2 ,อาร์คันซอส์ ร้อยละ 33.9

+++นายเท็ด ครูซ ชนะ 2 รัฐ  คือโอกลาโอมา ได้คะแนนร้อยละ 34.4 กับเท็กซัสร้อยละ 42.2

+++นายมาร์โก รูบิโอ ชนะเป็นครั้งแรกที่รัฐมินเนโซตาได้คะแนนร้อยละ 37.3

+++รัฐอะลาสกา ยังไม่มีการรายงานผลคะแนน  ทั้งนี้ หลังจากที่รับทราบผลการนับคะแนนส่วนหนึ่ง นายแซนเดอร์ กล่าวปราศรัยต่อผู้สนับสนุนที่เวอร์มอนต์ ว่าเราต้องไม่ปล่อยให้นายทรัมป์มาสร้างความแตกแยก เช่นเดียวกับนางคลินตัน ที่เรียกร้องให้อเมริกาไม่เกิดความแตกแยกเพราะการหาเสียงของนายทรัมป์

+++ขณะนี้นางคลินตันได้คะแนนจากคณะผู้แทนของพรรค หรือเดลิเกท จำนวน 921  เสียง ขณะที่นายแซนเดอร์ได้ 276 เสียง ผู้ที่จะเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจะต้องได้คะแนนเดลิเกทจำนวน 2,383 เสียง

+++ส่วนนายทรัมป์มีเดลิเกทจำนวน 221 เสียง นายครูซมี 69 เสียง นายมาร์โก รูบิโอ มี 41 เสียง  ผู้ที่จะเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจะต้องได้คะแนนเดลิเกทจำนวน 1,237 เสียง