การเดินทางเยือนสหพันธรัฐเบลารุสอย่างเป็นทางการ ของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมพร้อมคณะ ระหว่างวันที่ 26-27 กพ. พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า เป็นการกระชับความร่วมด้านความมั่นคงตามคำเชิญของเบลารุส พล.อ.ประวิตร เข้าเยี่ยมคำนับนายอเลกซานเดอร์ ลุกาเซนโก ( Alexander Lukashenko ) ประธานาธิบดีเบลารุส ที่ทำเนียบประธานาธิบดี ประธานาธิบดีเบลารุส กล่าวว่า เป็นการเยือนระดับสูงที่เปิดหน้าประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญของความสัมพันธ์ ไทย เบลารุส ในการพัฒนาไปสู่ความร่วมมือด้านต่างๆของทั้งสองประเทศ เบลารุสให้ความสำคัญกับภูมิภาคอาเซียน การแสดงความตกลงที่จะลงนามร่วมกันว่าด้วยความร่วมมือด้านเทคนิคทางทหาร เป็นพื้นฐานสำคัญของการขับเคลื่อนความสัมพันธ์ที่เพิ่มขึ้นระหว่างกันทั้งด้านการทหาร อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และการค้าการลงทุน โดยเฉพาะการท่องเที่ยวของไทยที่มีศักยภาพและเป็นที่ชื่นชอบของชาวเบลารุส พร้อมทั้งเชิญผู้แทนด้านต่างๆร่วมแลกเปลี่ยนข้อตกลงความร่วมมือด้านการค้า การลงทุน เสนอให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการร่วมทั้งสองฝ่ายให้เกิดผลเป็นรูปธรรม
พล.อ.ประวิตร กล่าวขอบคุณประธานาธิบดีเบลารุส ที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นด้วยมิตรไมตรี ยืนยันว่าไทยพร้อมที่จะสนับสนุนและผลักดันให้เกิดความร่วมมือของทั้งสองประเทศในทุกมิติ ซึ่งไทยอยู่ระหว่างการแต่งตั้งกงศุลกิตติมศักดิ์ไทยประจำเบลารุส ขณะเดียวกันการจัดตั้งกรรมาธิการร่วมทั้งสองฝ่ายและแลกเปลี่ยนการเยือนของผู้แทนด้านต่างๆระหว่างกัน รวมทั้งช่องทางทางการทูต จะเป็นกลไกประสานการทำงานร่วมกัน ให้เกิดความริเริ่มใหม่ๆที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น ไทยมีจุดประสงค์ให้เบลารุส ได้ใช้ศักยภาพด้านเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมยานยนต์ที่มีร่วมลงทุนในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งไทยพร้อมที่จะเป็นประตูสู่อาเซียนสำหรับเบลารุสในอนาคต
นอกจากนี้ พล.อ.ประวิตร ยังได้หารือกับพล.ท.อังเดร ราฟคอฟ ( Andrei Ravkov ) รัฐมนตรีกลาโหมเบลารุส ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่า การลงนามความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านเทคนิคทางทหาร จะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญ ที่จะนำไปสู่การขยายโอกาสของการส่งเสริมและพัฒนาความร่วมมือทางทหาร ให้มีขอบเขตครอบคลุมความร่วมมือใหม่ๆมากขึ้น ขั้นต้น อาจหารือถึงความร่วมมือในการฝึกศึกษาร่วมกัน การแลกเปลี่ยนการเยือนและประสบการณ์ของผู้ชำนาญการทางทหารระดับต่างๆ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเบลารุส ชื่นชมที่กองทัพไทยทำหน้าที่เป็นสถาบันหลักของประเทศ ที่มีระเบียบวินัยและได้รับการยอมรับจากประชาชน ในการเข้ามาควบคุมวิกฤตและการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองครั้งสำคัญ หวังว่าจะได้ร่วมกันทำงานเพื่อพัฒนาความร่วมมือของทั้งสองประเทศต่อไป
CR:สำนักโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี