ในวันนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี
ส่วนกรณีที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศ ว่าพร้อมเจรจากับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นั้น พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทุกอย่างควรเป็นไปตามกฎกติกา ทุกคนมีสิทธิ์ออกความเห็น รวมถึงร่างรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม คิดว่านายทักษิณคงอยากคุย แต่ตามหลักคิดง่ายๆ หากตำรวจไปคุยกับคนที่ยังติดคดีอาจจะลำบาก ต้องเข้าใจในจุดนี้ด้วย ที่จริงเวทีการพูดคุยยังเปิดอยู่และยังมีผู้แทนจำนวนมากที่สามารถพูดคุยได้ และยังมีวิธีส่งข้อความมาแล้วให้กรรมการพิจารณาได้ อย่างไรก็ตาม คิดว่าถ้าไม่พูดอะไรมาก อะไรที่ดีแล้วรับได้เราก็ทำ แล้วจะก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง แต่หากถ่วงกันไปดึงกันมาเหมือนสาวไส้ให้กากิน ยิ่งสาวไส้ก็ยิ่งเสียหาย ที่ผ่านมาไทยกับประเทศเพื่อนบ้านที่เคยเข้าใจผิดกันมา ตอนนี้มีความรักและเข้าใจกัน เพราะขจัดปัญหาออกไปโดยมองจุดร่วมแล้วก้าวไปข้างหน้า ผลประโยชน์จะกลับมาที่ประเทศและอาเซียน
ด้านพล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าประเทศไทยเป็นของคนไทยทุกคน ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ร่างขึ้นเพื่อปกป้องดูแลพี่น้องประชาชนทุกคน การเรียกร้องว่าต้องเจรจาจนกลุ่มการเมืองทุกกลุ่มพอใจร่างรัฐธรรมนูญนั้น ถือเป็นการสำคัญตนผิด คิดว่านักการเมืองสำคัญกว่าประชาชน ที่ผ่านมาประเทศเสียหายจากการทุจริตคอร์รัปชั่น การใช้กำลังก่อความวุ่นวายล้วนมีนักการเมืองใหญ่บางคนเป็นต้นเหตุทั้งสิ้น
นายอุดม รัฐอมฤต โฆษกกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เปิดเผยว่า กรธ.ได้ปรับแก้บทบัญญัติในร่างรัฐธรรมนูญ โดยเพิ่มสิทธิของชุมนุมในการฟ้องร้องรัฐที่ดำเนินโครงการหรือกิจกรรมที่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทรัพยากร สุขภาพของชุมชนอย่างรุนแรง พร้อมทั้งกำหนดให้รัฐต้องจัดกระบวนการศึกษาและกระบวนการรับฟังความคิดเห็นทั้งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และผลกระทบต่อสุขภาพ ก่อนดำเนินโครงการ ซึ่งนอกจากนี้จะมีการปรับแก้มาตรา 25 และมาตรา 26 โดยยืนหลักการว่าสิทธิเสรีภาพที่ไม่ถูกกฎหมายจำกัด และไม่เป็นการละเมิดความสงบเรียบร้อย ความมั่นคงของรัฐ และไม่กระทบสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่นไว้ แต่ได้เพิ่มหลักการในมาตรา 28 ของรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่ระบุว่า "บุคคลย่อมสามารถใช้สิทธิทางศาลเพื่อบังคับให้รัฐต้องปฏิบัติตามบทบัญญัตินี้โดยตรง" เพื่อให้ประชาชนได้รับความมั่นใจว่ามีหลักการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพที่จะหยิบยกขึ้นมาเพื่อต่อสู้ทางศาลได้
เมื่อสัปดาห์ก่อน กรธ.ได้ปรับแก้หมวดสิทธิเสรีภาพของปวงชนชาวไทย โดยนำเนื้อหาในวรรค 2 และ 3 ว่าด้วยการกำหนดให้รัฐต้องจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็น ก่อนจะดำเนินโครงการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชน ทั้งรับรองสิทธิของชุมชนที่จะฟ้องร้องหน่วยงานราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ มาเพิ่มในวรรคถัดไปในมาตรา 43 ของร่างรัฐธรรมนูญ
คณะทำงานปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว เผยว่า คณะทำงานปิดบัญชีซึ่งมีเจ้าหน้าที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นผู้รับผิดชอบ ยังไม่สามารถสรุปปิดบัญชีได้ เนื่องจากองค์การคลังสินค้า (อคส.) และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ยังไม่ส่งข้อมูลให้คณะทำงาน ทั้งที่ขยายเวลาการยื่นข้อมูลหลายครั้งแล้ว จากเดิมที่คาดว่าจะปิดบัญชีงวด 30 กันยายน 2558 ให้ได้ภายในตุลาคม 2558 ที่ผ่านมา แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สามารถปิดบัญชีได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบกับการฟ้องร้องผู้ที่ทำให้เกิดความเสียหาย ซึ่งศาลฎีกาคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอยู่ระหว่างพิจารณา รวมถึงการเรียกค่าเสียหายจากผู้เกี่ยวข้องการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ ที่มีคณะกรรมการรับผิดทางแพ่ง ที่มีนายมนัส แจ่มเวหา อธิบดีกรมบัญชีกลาง เป็นประธาน
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ ยอมรับว่าการปิดบัญชีเมื่อ 30 กันยายน 2557 มีผลขาดทุนกว่า 7 แสนล้านบาท โดยเป็นการขาดทุนในโครงการรับจำนำข้าวสมัยรัฐบาลก่อนมากว่า 5 แสนล้านบาท มีข้าวหายไปจริง และกระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการฟ้องร้องผู้ที่เกี่ยวข้องแล้ว ซึ่งนายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง ประธานคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว จะต้องประชุมปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวให้ได้ภายในเดือนนี้ เนื่องจากล่าช้ามามากแล้ว และต้องรายงานผลการปิดบัญชีล่าสุดให้คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (นบข.) ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานรับทราบเพื่อแก้ไขปัญหาขาดทุนและการปิดบัญชีโครงการให้มีความรวดเร็วขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ปัจจุบัน
กรณีที่มีการโพสต์ข้อความในแอพพลิเคชั่นไลน์ เกี่ยวกับการซื้อขายตำแหน่งตำรวจ ทางกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) กำลังรวบรวมข้อมูลและดำเนินคดี เพื่อเร่งรัดให้เสร็จภายใน 7 วัน โดยในวันนี้ จะมีการประชุมจัดตั้งทีมพิเศษเพื่อทำคดีนี้โดยเฉพาะ ซึ่งพล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. ระบุว่าในคดีนี้ผู้โพสต์ข้อความมีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ในการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ ซึ่งในวันนี้จะมีการเชิญพยานมาสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริงต่อไป
*-*