หลังกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) แถลงข่าวเรื่องรถหรูผิดกฎหมายของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือ สมเด็จช่วง ที่มีชื่อครอบครอง นางกาญจนา มากเหมือน เจ้าของอู่ N.P. การาจ ย่านพุทธมณฑลสาย 1 เดินทางเข้าร้องเรียนต่อดีเอสไอ เนื่องจากมีลายเซ็นต์ของนางกาญจนา ในขั้นตอนการขอจดประกอบกับกรมสรรพสามิต และพบว่าเป็นการแอบอ้างชื่อทำให้ นางกาญจนา แจ้งความกับพันตำรวจเอกไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ พร้อมด้วยพันตำรวจโทกรวัชร์ ปานประภากร ผู้บังคับการสำนักคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ เพื่อให้ดำเนินคดีกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง นางกาญจนา เปิดเผยว่า นายชลัช รู้จักกับสามีของตัวเองได้บอกว่าให้นำเอกสารไปยื่นกรมสรรพสามิตเพื่อขอให้เป็นอู่ประกอบรถยนต์ ซึ่งนายชลัชเป็นผู้ที่พาไปดำเนินการทั้งหมด แต่การขออนุญาตดังกล่าวก็ไม่ได้ดำเนินการต่อ เนื่องจากอู่ของนางกาญจนาไม่มีความพร้อม เพราะเป็นเพียงอู่ เคาะ พ่น สี เท่านั้น และหลังจากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกับนายชลัชอีกเลยจนทราบเรื่องว่ามีการปลอมเอกสารในคดีดังกล่าว ซึ่งนางกาญจนายังเปิดเผยว่า เคยรู้จักกับอู่วิชาญเลยและได้เห็นลายเซ็นที่มีการปลอมซึ่งยืนยันว่าไม่ใช่ลายเซ็นของตัวเองอย่างแน่นอน
ด้านพันตำรวจเอกไพสิฐ กล่าวว่า หลังจากนี้ ดีเอสไอจะเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าสอบปากคำ เบื้องต้นในวันนี้ อู่วิชาญได้เดินทางมาให้ข้อมูล พร้อมกันนี้จะทำหนังสือไปถึงสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เพื่อขอสอบถามเพิ่มเติม และขอตรวจสอบลายเซ็นต์ของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์
ส่วนกระข่าวที่บอกว่าสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์จะคืนรถดังกล่าวให้ดีเอสไอ อธิบดีดีเอสไอ เปิดเผยว่า หากมีความประสงค์ที่จะคืนมาเพื่อเก็บเป็นของกลาง ดีเอสไอก็ยินดีที่จะเดินทางไปรับรถ
ขณะที่พันตำรวจโทกรวัชร์ ระบุถึงการตรวจสอบรถยนต์หรูจดประกอบ กว่า 6,000 คัน ที่มีมูลค่าต่ำกว่า 4 ล้านบาท ว่าได้ส่งตรวจที่กรมศุลกากรแล้ว กว่า 300 คัน และเบื้องต้นพบรถ 8 คัน ที่ต้องเสียภาษี รวมกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งกรมศุลกากร ต้องส่งเรื่องมาให้ดีเอสไอ เพื่อดำเนินคดี และหากชำระภาษีแล้ว คดีก็ยุติในส่วนศุลกากร และสามารถนำรถคืนได้ แต่หากมีการปลอมแปลงเอกสาร แจ้งข้อมูลอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงาน และ มีส่วนร่วมในการจดประกอบรถ ก็จะมีความผิดตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต และ ความผิดอาญา
ผู้สื่อข่าว:พนิตา สืบสมุทร