*พยานโจทก์ ยืนยันต่อศาลฎีกาฯ ใช้หลักเกณฑ์สากลปิดบัญชีโครงการจำนำข้าว*

การนัดไต่สวนพยานโจทก์นัดที่ 2 ในคดีจำนำข้าว ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่อัยการสูงสุด (อสส.) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีนี้ในฐานะจำเลยฐานกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 กรณีปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว  ส่งผลให้รัฐเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาท

ผ่านไปครึ่งวัน ในช่วงเช้านี้ ในศาลฎีกาฯได้เบิก พยานโจกก์ปากแรก คือ นางสาวแน่งน้อย เจริญทวีทรัพย์ ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต เบิกความเรื่องหลักการทางบัญชี และในฐานะคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว ในรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งได้ชี้แจงต่อศาลฎีกาฯ ว่า การปิดบัญชีข้าวของอนุกรรมการฯ จะใช้หลักการตรวจสอบบัญชีตามหลักเกณฑ์สากลและถูกต้องตามหลักบัญชี ซึ่งข้อมูลที่ใช้ปิดบัญชีได้มาจากการรวบรวมจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวมถึงข้อมูลจากคณะกรรมการการตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าวในโกดังของรัฐบาลที่มีหม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ที่แบ่งอนุกรรมการตรวจสอบแต่ละกระทรวง โดยเช็คสต๊อกข้าวรัฐกว่า 1,800 โกดัง เนื่องจากก่อนที่อนุกรรมการฯ จะเข้ามาตรวจสอบ ข้อมูลเดิมของรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ มีอยู่อย่างกระจัดกระจาย และไม่สามารถใช้ปิดบัญชีได้ ดังนั้นคณะอนุกรรมการฯ จึงรวบรวมข้อมูลจากทุกหน่วยงานและตรวจสอบข้อมูลดังกล่าว ซึ่งยืนยัน ว่าข้อมูลที่ได้เป็นคนละส่วนกับข้อมูลที่ใช้ปิดบัญชีในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์  

นอกจากนี้ การตรวจสอบบัญชีไม่ใช่การบ่งชี้ว่าโครงการนี้มีการทุจริต เพราะไม่สามารถนำตัวเลขการขาดทุนจากโครงการมาบ่งชี้ว่ามีการทุจริตได้ แต่เป็นการแสดงตัวเลขทางบัญชีเท่านั้น และยืนยันว่ามีการใช้หลักเกณฑ์ทางบัญชีที่ถูกต้อง เพราะหากไม่ถูกต้องก็จะถือว่าเป็นการทุจริตทางตัวเลขอย่างหนึ่ง

ขณะที่ทนายความของจำเลย พยายามชี้ให้ศาลเห็นว่า พยานโจทก์ เป็นผู้ที่ไม่มีประสบการณ์หรือเกี่ยวข้องกับการดำเนินการนโยบายโครงการรับจำนำข้าวที่มีมากว่า 30 ปี และครั้งนี้เป็นครั้งแรกของพยานโจทก์ ที่เข้ามาทำหน้าที่ในช่วงเดือน พ.ค. ปี 2557

ผู้สื่อข่าว: วิรวินท์ ศรีโหมด