เที่ยง:นายกฯประชุมที่สหรัฐ/ยธ.คาดเดือนนี้คดีเครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นจะชัดเจน/HSBCคงสำนักงานใหญ่ที่ลอนดอนไว้ตามเดิม*

16 กุมภาพันธ์ 2559, 12:33น.


พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐ สมัยพิเศษ ร่วมกับผู้นำอาเซียนทั้ง 9 ประเทศ และประธานาธิบดีบารัก โอบามา ผู้นำสหรัฐฯ ในหัวข้อการส่งเสริมความมั่นคั่งของภูมิภาค ผ่านนวัตกรรมและการประกอบการ และหัวข้อทิศทางยุทธศาสตร์ภูมิศาสตร์



โดยในการที่พลเอกประยุทธ์ หารือทวิภาคีกับนายเหวียน เติ๊น สุง นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามนั้น พลเอกประยุทธ์ ชื่มชมประวัติศาสตร์ความร่วมมือ 40 ปี ของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต และยืนยันที่จะเดินหน้าภายใต้ความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Partnership) อย่างรอบด้าน ทั้งการค้า การลงทุน และความมั่นคง ทั้งแสดงความยินดีที่เวียดนามเข้าร่วมความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) ซึ่งไทยกำลังศึกษาและประเมินข้อกำหนดสำหรับประเทศที่จะเข้าร่วมเป็นสมาชิกใหม่อย่างรอบคอบ พร้อมแลกเปลี่ยนและรับฟังความคิดเห็นจากเวียดนามด้วย



ความคืบหน้ากรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ตรวจสอบพระธัมมชโยรับเงินบริจาคจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น โดยพล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม คาดว่าภายในเดือนนี้จะมีความชัดเจน เพราะเหลือการกำหนดฐานความผิดและขั้นตอนการฟ้องร้อง



กระทรวงพาณิชย์เปิดให้ผู้ที่ผ่านคุณสมบัติเข้าร่วมประมูล ยื่นซองเสนอราคาซื้อข้าวสารในสต๊อกของรัฐเป็นการทั่วไป เพื่อการบริโภค ปริมาณ 2 แสน 4 พันตัน ตั้งแต่เช้าวันนี้ และในช่วงบ่ายจะเป็นการเปิดซองเสนอราคาซื้อ โดยข้าวที่นำมาเปิดประมูลในวันนี้ เป็นข้าว 8 ชนิด ที่มีคุณภาพตามมาตรฐาน และใกล้เคียงมาตรฐาน 40 คลัง ในพื้นที่ 13 จังหวัด 



นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กำหนดเชิญผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์ยางพาราจากหลายประเทศจำนวนมากกว่า 160 รายเข้าร่วมการเจรจาการค้ากับผู้ประกอบการไทยมากกว่า 200 ราย ในงานจับคู่ธุรกิจผลิตภัณฑ์ยางวันที่ 29 กุมภาพันธ์นี้ ซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่าการซื้อขายมากกว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือกว่า 17,000 ล้านบาท



ส่วนเรื่องของการบิน เช้านี้ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หุ้นของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI ปรับราคาขึ้นร้อยละ 5.36 มาอยู่ที่ 8.85 บาท เพิ่มขึ้น 0.45 บาท มูลค่าซื้อขาย 28 ล้าน 7 แสน 4 หมื่นบาท เนื่องจากเมื่อวานนี้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี รับฟังแนวทางการทำงานของบมจ.การบินไทย (THAI) ที่สามารถหยุดยั้งการขาดทุนของการบินไทยได้  ซึ่งนายสมคิดกล่าวว่า ผลประกอบการของการบินไทยผ่านช่วงจุดต่ำสุดไปแล้ว และจะเริ่ม Take Off โดยคาดว่าการบินไทยจะมีกำไรจากนี้ไปอีก 5-10 ปีข้างหน้า และมอบนโยบายว่าสิ่งสำคัญนอกเหนือจากการควบคุมค่าใช้จ่าย ก็จะต้องมีการทำงานเชิงรุกในการเพิ่มประสิทธิภาพ เพื่อให้สามารถแข่งขันกับสายการบินอื่นได้ ซึ่งรัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนการบินไทย หากสิ่งใดที่เห็นว่าจำเป็นก็ให้จัดทำแผนงานมานำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ภายใน 1-2 เดือนนี้ 



ด้านนายพาที สารสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) มีหนังสือคำสั่งกรณีนักบินไม่เข้าปฏิบัติหน้าที่ตามปกติและอื่นๆ อันสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ที่นักบิน 9 คนหยุดงานประท้วง จนเป็นเหตุให้สายการบินนกแอร์ต้องยกเลิกเที่ยวบินกระทันหันจำนวน 9 เที่ยวบิน ทำให้มีผู้โดยสารตกค้างจำนวนหลายพันคน เมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ โดยมีคำสั่งให้พักงาน เจ้าหน้าที่ 2 ให้สอบสวน 7 คน และเลิกจ้าง 1 คนโดยไม่จ่ายค่าชดเชย และเงินใดๆ เนื่องจากมีพฤติการณ์จงใจกระทำความผิดร้ายแรงต่อบริษัท 



และในวันนี้ ผู้บริหารของนกแอร์ยังต้องเข้าหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมด้วย



ศาลฎีกาพิพากษาแก้ รอการลงโทษ 1 ปี น.ต.ประสงค์ สุ่นสิริ อดีตคอลัมนิสต์ และ บก.หนังสือพิมพ์แนวหน้า เขียนบทความวิจารณ์ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตามที่อัยการ พร้อมด้วย นายกระมล ทองธรรมชาติ กับพวกรวม 7 คน ซึ่งเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญฝ่ายเสียงข้างมากขณะนั้น ยื่นฟ้อง น.ต.ประสงค์ นายจีระพงศ์ เต็มเปี่ยม บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา กับพวกรวม 5 คนฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณาด้วยเอกสาร ร่วมกันดูหมิ่นศาลหรือผู้พิพากษาในการพิจารณาพิพากษาคดี จากกรณีเมื่อปี 2544 ที่จำเลยได้ร่วมกันตีพิมพ์บทความในหนังสือพิมพ์แนวหน้า ดูหมิ่นโจทก์ร่วม ในการตัดสินให้ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พ้นผิดในคดีซุกหุ้น ซึ่งศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่าการกระทำของ น.ต.ประสงค์ และ นายจีระพงศ์ ไม่ใช่การวิพากษ์วิจารณ์ หรือติชมโดยสุจริต มีความผิดฐานร่วมกันดูหมิ่นศาล แต่จำเลยทั้งสองไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน จึงพิพากษาแก้ในส่วนระยะเวลารอการลงโทษ จาก 2 ปี ลดเหลือ 1 ปี ส่วนจำเลยที่เหลือให้ยกฟ้อง



เอชเอสบีซี ธนาคารใหญ่อันดับ 4 ของยุโรปตัดสินใจคงสำนักงานใหญ่ไว้ในกรุงลอนดอนของอังกฤษต่อไป โดยคณะกรรมการของธนาคาร มีมติเอกฉันท์ว่า กรุงลอนดอนเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการเงินโลกแ มีบุคลากรสากลที่มีพรสวรรค์และทักษะ จึงมีความเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะเป็นที่ตั้งของเอชเอสบีซีต่อไป แต่ธนาคารยังคงให้ความสำคัญแก่เอเชีย โดยจะเพิ่มการลงทุนในเขตเศรษฐกิจสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเพิร์ลของจีนที่มีประชากร 42 ล้านคน



เอชเอสบีซีเริ่มทบทวนเรื่องที่ตั้งสำนักงานใหญ่ตั้งแต่เดือนเมษายนปีก่อน เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจจีน และตลาดเงินตลาดทุนผันผวน โดยมีข้อเสนอให้ย้ายกลับไปฮ่องกงซึ่งเป็นจุดกำเนิดของธนาคารเมื่อ 150 ปีก่อน และปัจจุบันมีพนักงานอยู่กว่า 20,0000 คนและครองสัดส่วนกำไรก่อนหักภาษีของธนาคารถึงร้อยละ 46 ส่วนหนึ่งเพราะรัฐบาลอังกฤษใช้มาตรการภาษีกับธนาคารใหญ่ๆ หลังเกิดวิกฤติการเงินโลกปี 2551-2552 แต่รัฐบาลชุดปัจจุบันได้ยกเลิกมาตรการภาษีเมื่อเดือนกรกฎาคมปีก่อนเพื่อคงสถานะประเทศให้เป็นที่ดึงดูดใจของธนาคารใหญ่ๆ ต่อไป



 -*

ข่าวทั้งหมด

X