+++ประธานาธิบดีปาร์กกึน-เฮแห่งเกาหลีใต้ เผชิญความล้มเหลวทางการเมืองอีกครั้ง หลังจากนายอาห์น เด-ฮี ผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีประกาศถอนตัวท่ามกลางคำถามเกี่ยวกับจริยธรรมของการสร้างเงินรายได้ก้อนโตหลังเปิดสำนักงานกฏหมายส่วนตัว นายอาห์น บอกว่า ได้ถอนตัวจากการถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯ และขอโทษต่อประธานาธิบดีที่ให้ความไว้วางใจ ด้วยการเสนอชื่อเขาเป็นนายกรัฐมนตรี นายอาห์นเผชิญกระแสวิจารณ์อย่างหนัก หลังมีรายงานข่าวว่านายอาห์นสร้างรายได้ก้อนโตเป็นเงิน1,600 ล้านวอนหรือราว 51 ล้านบาทตั้งแต่เขาเปิดสำนักงานกฎหมายเอกชนเมื่อปีที่แล้ว อีกทั้งนายอาห์นเป็นอดีตผู้พิพากษาศาลฏีกาและอดีตอัยการที่มีชื่อเสียงในการปราบปรามการทุจริตมาก่อนแต่นายอาห์นปฏิเสธใช้ประสบการณ์และเส้นสายในรัฐบาลมาเอื้อประโยชน์ให้แก่สำนักงานกฎหมายของตัวเอง พร้อมยืนยันบริจาคเงินเข้าการกุศล
+++เหตุไฟไหม้สถานพักฟื้นผู้ป่วยและคนชราเรื้อรังในเกาหลีใต้ เมื่อวานนี้ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 21 ศพ บาดเจ็บ 7 คน ในจำนวนนี้ 6 คนมีอาการหนักมาก จากการสูดดมควันเข้าไป ตำรวจสงสัยว่า สาเหตุมาจากผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมวัย 81 ปี เหตุการณ์นี้ยังมีแนวโน้มจุดชนวนการวิพากษ์วิจารณ์ที่ปัจจุบันเข้มข้นอยู่แล้วเกี่ยวกับมาตรฐานความปลอดภัยในเกาหลีใต้ ที่เพิ่งประสบโศกนาฏกรรมเรือเฟอร์รีอัปปาง เมื่อเดือนที่แล้ว เหตุการณ์ล่าสุด ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่ ขาดอากาศหายใจ เนื่องจากไฟที่ไหม้บนชั้นบนสุดของอาคารสูง 3 ชั้น ทำให้ห้องต่างๆ รวมถึงทางเดินอัดแน่นไปด้วยควันไฟที่เป็นพิษ สถานที่แห่งนี้ ดูแลผู้ป่วยเรื้อรังเกือบ 80 คน ซึ่งรวมถึงผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง อัลไซเมอร์ระยะสุดท้าย และอัมพาต
+++ภายหลังเกิดโศกนาฏกรรมคราวนี้ นายลี เฮียงเซ็ก หัวหน้าฝ่ายบริหารของสถานพักฟื้น ได้คุกเข่าก้มศีรษะจนหน้าผากลงแตะพื้น แสดงความสำนึกผิดต่อหน้าสื่อมวลชนที่มาทำข่าวหน้าสถานพักฟื้น พร้อมกล่าวขออภัยต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เกาหลีใต้ยังคงอยู่ในบรรยากาศของความเศร้าโศกจากเหตุการณ์เรือเซวอลจมเมื่อวันที่ 16 เม.ย.ที่มีผู้เสียชีวิตราว 300 คน ส่วนใหญ่เป็นนักเรียน ซึ่งก่อให้เกิดความกังขาเกี่ยวกับทิศทางของประเทศว่า การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว จำเป็นต้องแลกมาด้วยมาตรฐานความปลอดภัยที่ไม่ได้มาตรฐาน
+++บรรดาผู้นำสหภาพยุโรป(อียู) ชื่นชมการเลือกตั้งประธานาธิบดียูเครนและเรียกร้องให้รัฐบาลรัสเซียของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ดำเนินการในสิ่งที่รัสเซียสามารถทำได้เพื่อยุติการต่อสู้ในภาคตะวันออกของยูเครน โดยบรรดาผู้นำ 28ชาติอียู ประชุมกันในกรุงบรัสเซลส์ประเทศเบลเยี่ยม คาดหวังว่า รัสเซียจะให้ความร่วมมือกับประธานาธิบดีคนใหม่ของยูเครนนายเปโตร โปโรเชนโกผู้ชนะการเลือกตั้ง
+++ประธานาธิบดีฟรองซัวส์ออลลองด์ ผู้นำฝรั่งเศส แถลงว่า หากรัสเซียไม่ให้ความร่วมมือหรือไม่ยอมช่วยยุติการต่อสู้รัสเซียก็อาจเผชิญหน้ากับมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจที่รุนแรงขึ้น“ขณะนี้ ประธานาธิบดีปูติน ต้องไม่เพียงแต่เคารพผลการเลือกตั้งเท่านั้นแต่ยังต้องให้การยอมรับประธานาธิบดียูเครนและทำให้เกิดความเชื่อมั่นว่าความรุนแรงจะไม่ขยายวงกว้างออกไปอีกด้วย ผู้นำฝรั่งเศส เปิดเผยว่า จะเจรจาแบบตัวต่อตัวกับนายปูตินในวันที่ 6มิ.ย.นี้โดยมีวิกฤติยูเครนอยู่ในวาระการหารือ
+++ องค์การเพื่อความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (โอเอสซีอี) แถลงว่า ยังไม่มีข่าวความคืบหน้าคณะเจ้าหน้าที่ 4 คนที่สูญหายไปในวิกฤตยูเครน และอาจพิจารณาถอนกำลังเจ้าหน้าที่หากสถานการณ์แย่ลง
+++กลุ่มติดอาวุธที่สงสัยว่าเป็นพวกโบโกฮาราม ก่อเหตุโจมตีค่ายทหารและสถานีตำรวจทางตะวันออกเฉียงเหนือของไนจีเรีย มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 33 ศพ กลุ่มติดอาวุธ นั่งรถตู้สวมชุดเครื่องแบบทหารเข้ามาในค่าย ทหารด่านหน้าเปิดประตู และก่อเหตุโจมตีทันที กราดยิงค่ายทหารและบุกทำลายสถานีตำรวจใกล้เคียงท้องถิ่นพังราบ รายงานความคืบหน้าเป็นไปอย่างล่าช้าเพราะสัญญาณโทรศัพท์ไม่ดี และกลุ่มติดอาวุธในไนจีเรียยังทำลายระบบโทรคมนาคมด้วย
+++ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐ เรียกร้องจากสภาคองเกรส ขอเงินทุนพันธมิตรต่อต้านก่อการร้าย 5,000 ล้านดอลลาร์ สนับสนุนและช่วยเหลือประเทศอื่นๆจัดการกับพวกหัวรุนแรง เงินจำนวนนี้จะถูกนำไปใช้ในภารกิจต่างๆ ยกตัวอย่างเช่นฝึกกองกำลังด้านความมั่นคงในเยเมน สนับสนุนกองกำลังผสมนานาชาติรักษาสันติภาพในโซมาเลีย ทำงานร่วมกันพันธมิตรยุโรปฝึกฝนกองกำลังความมั่นคงที่ปฏิบัติหน้าที่ในลิเบีย และช่วยเหลือปฏิบัติการของฝรั่งเศสในมาลี ขณะเดียวกันก็เตือนว่าสหรัฐ พร้อมตอบโต้การรุกรานของจีน
+++ผลการจัดอันดับสตรีที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก 100 คนแรก ประจำปี พ.ศ. 2557 โดยนิตยสารฟอร์บส์แห่งสหรัฐ ปรากฎว่า นางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีหญิงของเยอรมนี ยังครองอันดับ 1 ซึ่งเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน ขณะที่อันดับ 2 ของปีนี้ได้แก่ นางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตามด้วย นางเมลินดา เกตส์ ภริยาของนายบิล เกตส์ มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของสหรัฐ ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ อันดับ 4 ได้แก่ นางดิลมา รูสเซฟ ประธานาธิบดีบราซิล อันดับ 5 นางคริสติน ลาการ์ด กรรมการผู้จัดการใหญ่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และอันดับ 5 นางฮิลลารี คลินตัน อดีตสุภาพสตรีหมายเลข 1 และรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ส่วนนางมิเชล โอบามา ภริยาของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผุ้นำสหรัฐ อยู่อันดับที่ 8สตรีที่ติดอันดับ 100 คนแรกของฟอร์บส์
+++ครอบครัวของผู้โดยสารบินเที่ยวบินเอ็มเอช 370 ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ที่สูญหายไปกล่าวหาทางการมาเลเซียว่าปิดบังข้อมูลทางดาวเทียมที่สำคัญ โดยชี้ว่ารายงานที่ทางการมาเลเซียเปิดเผยไม่สมบูรณ์และไม่ได้ชี้ว่าเครื่องบินลำดังกล่าวตกในมหาสมุทรอินเดียตอนใต้ นายสตีฟ หวัง โฆษกของกลุ่มญาติผู้โดยสารชาวจีน 153 คนบนเที่ยวบินเอ็มเอช 370 กล่าวหาทางการมาเลเซียว่าปิดบังข้อมูลและสงสัยว่าการคำนวณตำแหน่งที่เครื่องบินตก อาจผิดพลาดเนื่องจากเวลาผ่านไปนานมากและการค้นหาก็ยังไม่พบเศษชิ้นส่วนเครื่องบิน พร้อมเรียกร้องให้ทางการเปิดเผยรายงานสมบูรณ์ที่มีข้อมูลเกี่ยวกับทฤษฎีเส้นทางการบินของเครื่องบินลำดังกล่าว เพื่อที่ญาติผู้โดยสารจะได้เชิญผู้เชี่ยวชาญอิสระมาแสดงความคิดเห็น ด้านนายอาซารุดดิน เราะห์มาน ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนของมาเลเซีย ตอบโต้กระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่า ขณะนี้ทางการมาเลเซียยังไม่มีแผนเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อมูลดิบทางดาวเทียมจากบริษัทอินมาร์แซท หากมีคำถามเพิ่มเติมก็ควรส่งไปถามบริษัทอินมาร์แซทโดยตรง
+++ตลาดหุ้นสหรัฐ ขยับลงในกรอบแคบๆ จากรายงานผลประกอบการที่ผสมผสานของบริษัทต่างๆ ก่อนที่สหรัฐจะเผยแพร่ข้อมูลทางเศรษฐกิจที่สำคัญในวันนี้ ดาวโจนส์ ลดลง 40.91 จุด ปิดที่ 16,634.59 จุด เอสแอนด์พี ลดลง 2.13 จุด ปิดที่ 1,909.78 จุด แนสแดค ลดลง 11.99 จุด ปิดที่ 4,225.07 จุด
+++ทองคำ ปิดลบแตะระดับต่ำสุดในรอบ 15 สัปดาห์ จากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐ ที่ดีเกินคาดหมาย และดูท่าอุปสงค์ที่แท้จริงของโลหะมีค่าชนิดนี้ในจีนส่อเค้าเบาบางลงไป โดยราคาทองคำตลาดโคเม็กซ์ ลดลง 6.20 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,259.30 ดอลลาร์ต่อออนซ์
+++น้ำมันตลาดสหรัฐ ลงแรง คาดสต๊อกเชื้อเพลิงน่าจะสูงขึ้น สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของสหรัฐ งวดส่งมอบเดือนก.ค. ลดลง 1.39 ดอลลาร์ ปิดที่ 102.72 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน ลดลง 22 เซนต์ ปิดที่ 109.81 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล