หลังจากข่าวพบคนไทยเดินทางไปไต้หวันติดเชื้อไวรัสซิกา และขณะนี้กำลังรักษาตัวอยู่ที่ไต้หวันนั้น ล่าสุดเกิดกระแสข่าวตื่นตระหนกว่า พบคนไทยติดเชื้อไวรัสดังกล่าวอีกเป็นรายที่ 2 ของประเทศไทย โดยรักษาตัวอยู่ที่รพ.ภูมิพลอดุลยเดช
ในวันนี้ นพ.อำนวย กาจีนะ อธิบดีกรมควบคุมโรค(คร.) กล่าวว่า ประเทศไทยพบร่องรอยโรคนี้ตั้งแต่ปี 2506 แต่พบผู้ป่วยรายแรกในปี 2555 ซึ่งตั้งแต่ปี 2555-2558 เฉลี่ย 2-5 ราย และทุกครั้งที่พบผู้ป่วยแต่ละรายก็จะหายได้เอง ไม่มีการแพร่ระบาดวงกว้าง ทั้งนี้ ไม่ต้องกังวลว่าโรคนี้จะมาในลักษณะข้ามประเทศ หรือ Case Import เพราะในประเทศก็พบเจอได้ เพียงแต่ควบคุมได้ ซึ่งใน1-2 สัปดาห์จะมีกิจกรรมรณรงค์ครั้งใหญ่ร่วมกับทุกหน่วยงานเกี่ยวกับการควบคุมและกำจัดลูกน้ำยุงลาย ซึ่งเป็นพาหะโรค 3 โรค ได้แก่ ไข้เลือดออก ชิคุนกุนยา(โรคไข้ปวดข้อยุงลาย) และซิกา นอกจากนี้ ก็มีคำแนะนำสำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปประเทศที่มีการระบาด
ส่วนขณะนี้มีข้อกังวลเรื่องหญิงตั้งครรภ์ที่หากรับเชื้อจะส่งผลต่อทารกให้ศีรษะลีบแบน นพ.อำนวย กล่าวว่า จริงๆ หญิงตั้งครรภ์จะต้องดูแลตัวเองในทุกด้านมากกว่าคนทั่วไป แต่ในเรื่องนี้ก็มีมาตรการเฝ้าระวัง โดยจัดกลุ่มเสี่ยง 4 กลุ่ม มี 1.หญิงตั้งครรภ์ 2.ผู้ป่วยไข้ออกผื่น ที่มาสถานพยาบาลไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดต้องคัดกรองเป็นพิเศษ เพราะอาจเข้าข่ายอาการของซิกา 3. ทารกศีรษะเล็ก และ 4. ผู้ป่วยปลายประสาทอักเสบ โดยกลุ่มอาการเหล่านี้จะบ่งบอกว่าเข้าข่ายโรคซิกาได้ และในกรณีหญิงตั้งครรภ์หากมีอาการไข้ ผื่นขึ้น ตาแดง ปวดเมื่อยตามตัว ปวดข้อ ต้องรีบพบแพทย์ เพื่อทำการเจาะเลือดตรวจหาเชื้อ
ส่วนยุงลายในประเทศไทยถือว่าเป็นพาหะนำโรคมากน้อยแค่ไหน นพ.อำนวยกล่าวว่า ได้มีการประสานภาควิชากีฎวิทยา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล ในการติดตามเรื่องยุงว่ามีความผิดปกติอะไรหรือไม่ นอกจากนี้ คร.ยังได้ออกประกาศเพิ่มเติมอีก 2 ฉบับ จากฉบับแรกที่เกี่ยวกับประกาศเรื่องโรคไข้ซิกา ในเรื่องอาการ การดูแล เฝ้าระวังต่างๆ โดยประกาศใหม่ คือ 1. ประกาศสธ.เรื่องเพิ่มเติมชื่อโรคติดต่อและอาการสำคัญ โดยระบุว่าอาการสำคัญ ได้แก่ มีอาการไข้ ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ ตาแดง บางรายอาจมีผื่นแดงขึ้นตามร่างกาย โดยทั่วไปจะมีอาการป่วยประมาณ 1 สัปดาห์ และ 2.ประกาศสธ.เรื่องเพิ่มเติมชื่อโรคติดต่อต้องแจ้งความ ระบุว่า โรคติดเชื้อไวรัสซิกาเป็นโรคที่ต้องแจ้งความ อย่างไรก็ตาม เพื่อความมั่นใจได้กำชับสถานพยาบาลในสังกัดให้คัดกรองกลุ่มเสี่ยงทั้ง 4 กลุ่มอย่างถี่ถ้วน ขณะเดียวกันได้มีการประชุมทางไกลผ่านระบบคอนเฟอร์เร็นซ์กับนักระบาดวิทยาภาคสนามในระดับอาเซียนบวกสามด้วย
สำหรับ ผู้ป่วยไวรัสซิกา อาการไม่ได้รุนแรงมาก เพราะปกติจะหายเองได้ภายใน 7 วัน ส่วนที่เกิดการระบาดจนองค์การอนามัยโลกออกมาประกาศว่าเป็นภาวะฉุกเฉิน เพราะเด็กที่คลอดออกมามีความพิการทางสมอง จึงต้องออกประกาศดังกล่าว โดยกำชับให้มีการดูแลหญิงตั้งครรภ์เป็นพิเศษ
พล.อ.ต.สันติ ศรีเสริมโภค เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช กล่าวว่า กรณีนี้ ไม่ใช่ผู้ป่วยรายแรกของประเทศไทย แต่เป็นผู้ป่วยรายแรกของโรงพยาบาลภูมิพล เป็นชายไทยอายุประมาณ 20 กว่าปี เข้ารับการรักษาเมื่อวันที่ 24 มกราคมด้วยอาการไข้ มีผื่น ตาแดง เมื่อยตามเนื้อตัว จากการตรวจสอบยืนยันว่า เป็นไข้ซิกา ซึ่งให้การรักษาจนผู้ป่วยอาการดีขึ้น และออกจากโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 26 มกราคม ไม่ถือว่าผู้ป่วยรายนี้เป็นพาหะ เพราะการแพร่โรคจะเป็นไข้ แต่รายนี้ไม่มี ที่สำคัญรายนี้ไม่มีประวัติเดินทางไปประเทศที่มีการระบาด อย่างไรก็ตาม ที่กังวลคือ ปัญหาทารกในครรภ์มารดาที่ติดเชื้อ โดยที่ต้องระวังคือช่วงตั้งครรภ์แรกๆ ประมาณ 12 สัปดาห์ จึงทำให้เกิดข้อกังวล แต่จริงๆ หญิงตั้งครรภ์ต้องดูแลสุขภาพตัวเองอยู่แล้ว
ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเสริฐ ทองเจริญ ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสวิทยาและที่ปรึกษากรมควบคุมโรค กล่าวว่า ได้มีการประสานไปยังราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย ให้เฝ้าระวังทารกแรกเกิดที่มีศีรษะเล็กว่า สัมพันธ์กับเชื้อซิกาหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาไม่ทราบข้อมูลเหล่านี้ และยังประสานไปยังราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย ในการเฝ้าระวังผู้ป่วยที่มีอาการปลายประสาทอักเสบว่า มาด้วยสาเหตุอะไรด้วย เพื่อให้ข้อมูลรอบด้าน ทั้งนี้ อาการของโรคนี้คล้ายไข้เลือดออก กับชิคุนกุนยา มีไข้ ผื่น ปวดข้อ แต่ที่ต้องระวังในหญิงตั้งครรภ์ เพราะมีรายงานในบราซิล เนื่องจากพบว่าทารกแรกเกิดมีศีรษะเล็กประมาณ 3,000 คน ซึ่งพบสูงขึ้นมากจากปกติอัตรา 0.5 คนต่อประชากรทารกหมื่นคน พุ่งสูงขึ้นเป็นอัตรา 20 คนต่อประชากรทารกหมื่นคน เมื่อศึกษาจึงพบว่าเกี่ยวพันกับเชื้อซิกา จึงมีการเฝ้าระวังกันมาก
กรณี หญิงตั้งครรภ์หากไปเจาะเลือดตรวจจะทราบว่าเด็กมีภาวะป่วยด้วยหรือไม่ ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเสริฐ กล่าวว่า ไม่สามารถตรวจหาเชื้อในทารกได้ เนื่องจากแอนติบอดีจะเหมือนกับไข้เด็งกี่ และไข้สมองอักเสบ จะต้องเจาะน้ำคร่ำจึงจะตรวจได้
CR:สำนักสารนิเทศ สธ.