เมืองไทยฯ(1): ก.กษตรฯเสนอกรอบการซื้อยางพารา/9จังหวัดประกาศเขตภัยแล้ง/ศอตช.ยืนยันตรวจสอบ สสส.ตามหน้าที่*

19 มกราคม 2559, 07:28น.


วันนี้ต้องติดตามการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะเสนอกรอบการใช้งบประมาณรับซื้อยางพารา 1 แสนตัน รวมถึงโควตาการรับซื้อ และวาระพิจารณาเรื่องอื่นๆ



โดยก่อนที่การประชุมจะเริ่มต้นขึ้น ยังมีการจัดแสดงผลิตภัณฑ์และการใช้ประโยชน์จากยางพาราที่ทำเนียบฯ ซึ่งมีทั้งนักวิจัย นักพัฒนา รวมถึงผู้ประกอบการที่นำตัวอย่างมาเสนอ 8 กระทรวงนำไปประยุกต์ใช้



พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงงบประมาณที่จะนำมาใช้ในการรับซื้อยางพารากิโลกรัมละ 45 บาท จะนำมาจากค่าธรรมเนียมการส่งออกยาง ของการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เท่าที่มีอยู่ โดยในการประชุมนัดแรกของคณะกรรมการบริหาร กยท.  มีมติให้เร่งจ่ายเงินไร่ละ 1,500 บาท ไม่เกินรายละ 15 ไร่ ให้เกษตรกรชาวสวนยางและคนกรีดยางให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 มกราคมนี้ และการรับซื้อยางจากเกษตรกรรายย่อย 100,000 ตัน ร่วมกับ องค์การคลังสินค้า(อคส.) และ คสช.



ซึ่งในการที่พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรฯประชุมด่วนคณะทำงานในการแก้ปัญหายางพารา  มีการย้ำให้ทุกหน่วยงานที่ซื้อยางจากเกษตรกร 1 แสนตันทำงานอย่างโปร่งใสไม่ให้เกิดกรณีปัญหาร้องเรียนจากเกษตรกรอย่างเด็ดขาด



จากสถานการณ์ภัยแล้งปีนี้ นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันมี 9 จังหวัดที่ประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินภัยแล้ง ได้แก่ เชียงราย อุตรดิตถ์ พะเยา เชียงใหม่ มหาสารคาม นครราชสีมา นครพนม สระแก้ว และพิษณุโลก รวม 31 อำเภอ โดยมีความร่วมมือกับทหารและอีกหลายหน่วยงานออกให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง โดยจัดรถบรรทุกน้ำออกไปแจกจ่าย



ด้านพล.อ.สมหมาย เกาฎีระ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) กล่าวว่า กองทัพเตรียมแจกจ่ายน้ำ ประมาณ 30-40 ล้านลิตร ทางทหารคิดไว้หมด รวมถึงการขุดเจาะบ่อบาดาล



นายโอฬาร พิทักษ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ยอมรับว่าการกระจายงบส่งเสริมการปลูกพืชฤดูแล้งที่ยังไปไม่ถึงเกษตรกรในทุกพื้นที่ เนื่องจากขั้นตอนการอนุมัติและตรวจสอบงบประมาณ โดยเฉพาะในกลุ่มเกษตรกรที่เลือกปลูกพืชไร่กว่า 4 หมื่นราย ที่อาจปลูกไม่ทันเพราะความชื้นในดินมีไม่พอ เสี่ยงผลผลิตเสียหาย จึงย้ำให้เกษตรจังหวัดทำความเข้าใจกับเกษตรกรที่ร่วมโครงการ ถ้าปลูกพืชไร่เสี่ยงให้เปลี่ยนไปปลูกพืชผักหรือเพาะเห็ดที่ไม่ต้องอาศัยความชื้นในดินแทน



โดยในวันที่ 22 มกราคมนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะลงพื้นที่จ.นครสวรรค์และจ.ชัยนาท ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องภัยแล้ง โดยทบทวนแผนคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ และมีการปรับแก้ใหม่ให้เหมาะสมกับการดำรงชีวิตของเกษตรกร



ส่วนการร่างรัฐธรรมนูญ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ยืนยันว่าไม่มีการเขียนเรื่องนิรโทษกรรมไว้ในบทเฉพาะกาลร่างรัฐธรรมนูญตามที่หลายฝ่ายกังวล และไม่เคยเขียนกฎหมายเปิดช่องให้เกิดการปฏิวัติ เพียงแต่เขียนเพื่อรับรองการดำเนินการของแม่น้ำ 5 สายที่เกิดขึ้นในช่วงการเปลี่ยนผ่านหลังรัฐธรรมนูญประกาศใช้ เพื่อเป็นการรับรองสิ่งที่ได้ทำไปแล้ว ส่วนการนิรโทษกรรมเหตุรัฐประหารมีผลตั้งแต่รัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ออกมาแล้วจึงไม่มีความจำเป็นต้องเขียนอะไรไว้อีก



กรณีที่นำมาตรา 7 ในรัฐธรรมนูญเดิมมาใส่ไว้ในหมวดศาลรัฐธรรมนูญ ก็เพื่อให้เกิดความชัดเจน ไม่ได้เพิ่มอำนาจให้ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งปัญหาเรื่องรัฐธรรมนูญก็เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญที่จะต้องวินิจฉัยอยู่แล้ว จึงไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร



ส่วนกรณีที่มีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตามมาตรา 44 ปลดกรรมการ (บอร์ด) ผู้ทรงคุณวุฒิ ในสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) 7 คน ซึ่งส่งผลให้ บอร์ด สสส. ที่เหลือไม่สามารถทำงานต่อไปได้ เนื่องจากมีองค์ประกอบไม่ครบตาม พ.ร.บ. สสส. นั้น พล.อ.ประยุทธ์ ลงนามแต่งตั้งรองประธาน เพื่อให้กรรมการ สสส.ที่เหลืออยู่ทำงานได้ ก่อน เพราะมีปัญหารองประธานไม่ครบขาดไป 1 คน เมื่อตั้งรองประธานขึ้นมาก็สามารถทำงานต่อไปได้



ด้าน พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ในฐานะประธานศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) กล่าวว่า บอร์ด สสส. ทั้ง 7 คนที่ถูกคำสั่งปลดพ้นตำแหน่ง สามารถเข้าชี้แจงและดูข้อมูลที่ ศอตช.ได้ ซึ่งขณะนี้มีเพียง 1 ราย คือ นายวิเชียร พงศธร ที่ติดต่อขอชี้แจง อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบของ ศอตช. จะต้องทำงานไปตามปกติ ส่วนหน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบการใช้งบประมาณของรัฐ ก็ต้องตรวจสอบต่อไป



ด้านนายคำรณ ชูเดชา ผู้ประสานงานขบวนการสร้างเสริมสุขภาพ ภาคประชาชน (ขสช.) กล่าวถึงกรณี พรรคเพื่อไทย ยื่นหนังสือให้กรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีกลุ่มบุคคลที่รับเงินจาก สสส. และดำเนินคดีอาญากับบุคคลที่มีพฤติการณ์หลบเลี่ยงภาษี โดยกล่าวว่า ไม่มีองค์กรหรือมูลนิธิใดหลบเลี่ยงภาษี ทั้งไม่เห็นด้วยที่กรมสรรพากรทำหนังสือให้องค์กรที่รับทุน สสส. ต้องจ่ายภาษีย้อนหลัง 5 ปี ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และขัดกับวัตถุประสงค์และ พ.ร.บ.สสส. โดยขณะนี้มีองค์กรที่ได้รับผล กระทบประมาณ 2,000 องค์กร



 *-*

ข่าวทั้งหมด

X