การระงับโครงการของกองทุนสนับสนุนและสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เปิดเผยว่า ในวันจันทร์ที่ 18 มกราคมนี้ จะออกคำสั่งให้ทุกคนกลับไปทำงานเหมือนเดิม พร้อมยืนยันว่าไม่ได้เป็นการก้าวล่วงการทำงานของผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้อาวุโสต่างๆ และไม่ได้บอกว่ามีการทุจริตภายในสสส. แต่เนื่องจากเรื่องนี้เป็นที่เกี่ยวข้องกับประชาชนและสังคมโดยตรง ก็จะต้องมีการตรวจสอบเพื่อให้เกิดความชัดเจน ไม่ให้เป็นที่ครหา รวมทั้งยังเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับระบบงานงบประมาณ ซึ่งจะต้องมีการดูว่าไปใช้จ่ายอย่างไรบ้าง นายกรัฐมนตรี ก็ได้กล่าวขอโทษที่ทำให้เกิดการเข้าใจผิด และทำให้การทำงานหยุดชะงักลง หลังวันจันทร์ที่ 18 มกราคมนี้ ทุกอย่างก็กลับไปเป็นปกติ แต่ทั้งนี้ในเรื่องการทำงานของสสส. ก็จะต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนด้วย นอกจากนี้ก็ขออย่าให้มีการยุยง ปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้งขึ้นอีก ส่วนกรณีคณะกรรมการที่ไม่ครบองค์ประชุม จะมีการแต่งตั้งเพิ่มเติมในภายหลัง
ก่อนหน้านี้ พล.อ.ชาตอุดม ติตถะสิริ ประธานคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) กล่าวถึงปัญหาการดำเนินงานและการตั้งรักษาการกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) แทนผู้ที่ถูกให้พ้นจากตำแหน่งเดิม ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ(คตช.)ไม่ได้หารือกันเรื่องดังกล่าว แต่มีการพูดคุยกันนอกรอบซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) จะเป็นผู้ชี้แจงเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เพราะเป็นเรื่องระดับนโยบาย
ส่วน การชะลอโครงการและงบประมาณของสสส.ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานได้รับผลกระทบจะดำเนินการอย่างไร พล.อ.ชาตอุดม กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว และคาดว่าจะมีการสั่งการในเรื่องนี้ต่อไป ส่วนที่มีข่าวว่ามีการตรวจสอบภาษีผู้ดำเนินโครงการของสสส.ในแต่ละโครงการย้อนหลังนั้น พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ได้ชี้แจงเรื่องนี้ไปแล้ว ซึ่งในทางกฎหมายก็ต้องดำเนินการไปตามกฎหมาย สำหนับกระแสข่าวที่ว่ามีการล็อกสเปกการสรรหาบอร์ดสสส.นั้น ยืนยันว่าการพิจารณาจะเปิดกว้างขวางและเป็นไปอย่างโปร่งใส โดยคนที่ถูกปลดพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว ยังสามารถกลับเข้ามาสมัครเพื่อเข้าสู่กระบวนการคัดสรรใหม่ได้ ซึ่งนายกฯและคสช.ไม่ได้มีคนของตัวเองตามที่เป็นข่าว
ส่วนความคืบหน้าการแต่งตั้งพระสังฆราชองค์ใหม่ นายกรัฐมนตรีระบุว่า ขณะนี้กำลังให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปตรวจสอบข้อมูลและกลั่นกรองก่อนที่จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ
สำหรับเหตุการณ์โจมตีกลางกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย จนมีผู้เสียชีวิต 7 ศพ และมีผู้บาดเจ็บกว่าสิบราย นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ตัวเองได้ส่งสารแสดงความเสียใจไปยังประเทศอินโดนีเซียแล้ว และประเทศไทยก็ได้มีการเง้าระวังอย่างใกล้ชิด ขออย่าให้ประชาชนตื่นตระหนก แต่ให้ช่วยเฝ้าระวังเป็นหูเป็นตาให้กับเจ้าหน้าที่ที่เหี่ยวข้อง พร้อมยืนยันอีกด้วยว่าขณะนี้ยังไม่พบข้อมูลไอเอสในประเทศไทย และอย่าทำเรื่องนี้ให้เป็นประเด็น เนื่องจากประเทศไทยไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งในครั้งนี้