กระแสมหาเถรสมาคม (มส.) ประชุมลับเมื่อวันที่ 5 ม.ค. พร้อมมีมติเสนอชื่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (สมเด็จช่วง) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ใหม่ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประชุมทุกครั้งก็ลับทั้งนั้น ลับหรือไม่ลับจึงไม่มีความแตกต่าง ปัญหาคือวาระที่ประชุมบอกให้คนรู้ก่อนหรือไม่ แต่ทำไมต้องบอกใคร เพราะอย่างน้อยก็ต้องบอกกันเองไม่เช่นนั้น กรรรมการมส.จะมาประชุมได้หรือ ส่วนจะครบองค์ประชุมหรือไม่ รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่า ไม่ทราบ และหากมีมติใดออกมาก็สามารถเสนอมายังรัฐบาลได้ ถ้าการประชุมมีมติรับรองถูกต้องก็จบ ตามขั้นตอนหากรัฐบาลได้รับรายชื่อมาจะต้องตรวจสอบว่ากระบวนการพิจารณาเสนอชื่อมาทำถูกหรือไม่ รัฐบาลต้องรับผิดชอบ แต่ไม่มีหน้าที่ไปดูความประพฤติหรือความเหมาะสม ส่วนการตั้งรักษาการไปก่อนจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดหรือไม่นั้นไม่ขอตอบ ตอบแบบนั้นมันอคติ ส่วนที่นายกรัฐมนตรีพูดนั้นพูดด้วยความเห็นกลางว่าถ้ายังทะเลาะขัดแย้งกันอยู่ รัฐบาลจะไม่นำสิ่งซึ่งเป็นความขัดแย้งขึ้นไปกราบบังคมทูลฯ เพราะถ้าฝ่าฟันทุกอย่างแล้วกราบบังคมทูลฯ ขึ้นไป คนที่ขัดแย้งตามไปคัดค้าน สำนักราชเลขาธิการก็ต้องส่งกลับมาให้พิจารณาอยู่ดีว่าจะเอาอย่างไรกันแน่
นายวิษณุ กล่าวว่า เรื่องนี้มีทางออก อะไรที่เป็นหน้าที่รัฐบาลก็ต้องทำหน้าที่นั้น ซึ่งเกิดจากกฎหมาย ประเพณี และความคาดหมายของประชาชน ประกอบขึ้นเป็นหน้าที่ และต้องแจ้งคณะสงฆ์ทราบว่ารัฐบาลจะทำอะไรอย่างไร ส่วนที่หลายคนมองว่าเป็นเผือกร้อนของรัฐบาล ในส่วนตัวถือเป็นปรากฏการณ์ธรรมดา นายวิษณุ กล่าวว่า เราบอกสมเด็จวัดปากน้ำ อาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ ถ้าไม่ตั้งสมเด็จวัดปากน้ำแล้วจะตั้งใคร ไม่ชอบสมเด็จวัดปากน้ำไม่ว่า แต่ถ้าไม่ตั้งแล้วไปตั้งใคร หมายถึงจะตั้งโดยให้ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งกำหนดว่าเป็นสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์และสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หลายครั้งที่ตั้งสมเด็จพระสังฆราชในอดีต มีปัญหาเกือบทุกครั้ง เมื่อมีปัญหาถ้าตั้งได้ก็จบ ชอบไม่ชอบ นับถือไม่นับถือก็อยู่ในใจ ครั้งนี้ไม่ได้มีการแย่งชิง ที่มีปัญหาคือ ลูกศิษย์ที่อยากให้อาจารย์ตัวเองได้เป็น จึงควรปล่อยให้เป็นไปโดยธรรมชาติ อย่าให้มันผิดธรรมชาติ
CR:แฟ้มภาพ