+++สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างซาอุดิอาระเบียและอิหร่าน หลังจากซาอุดิอาระเบีย ประหารชีวิตเชคนิมร์ อัล-นิมร์ นักการศาสนาคนสำคัญของฝ่ายชีอะห์ ทำให้กลุ่มผู้ประท้วงโจมตีทำลายสถานทูตซาอุดีอาระเบียในอิหร่าน ล่าสุด คูเวต เป็นประเทศอ่าวอาหรับรายล่าสุดที่ประกาศเรียกเอกอัครราชทูตกลับจากอิหร่านเพื่อประท้วง คูเวตไม่ได้ขับเอกอัครราชทูตอิหร่านออกจากประเทศ หรือลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิหร่าน นอกจากคูเวตแล้ว ก่อนหน้านี้ มีสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ ก็ไม่พอใจการกระทำของอิหร่านด้วยเช่นกัน สำนักข่าวคูนาของทางการคูเวตรายงานอ้างแถลงการณ์กระทรวงต่างประเทศว่า การโจมตีสถานทูตถือว่าขัดต่อข้อตกลงระหว่างประเทศ ธรรมเนียมปฏิบัติและละเมิดคำมั่นสัญญาระหว่างประเทศที่อิหร่านจะต้องให้ความคุ้มครองด้านความปลอดภัยของสถานทูตและสวัสดิภาพของคณะทูต
+++ บาห์เรน พันธมิตรที่ใกล้ชิดกับซาอุดีอาระเบีย ระงับเที่ยวบินทั้งขาเข้าและมุ่งหน้าสู่อิหร่าน กรมการบินพลเรือนภายใต้สังกัดกระทรวงคมนาคมระบุว่าจะมีมาตรการต่างๆออกมา เพื่อลดความไม่สะดวกสะบายของนักเดินทางที่สำรองตั๋วไว้ล่วงหน้า
+++ประธานาธิบดีฮัสซัน โรฮานีของอิหร่าน ประณามซาอุดิอาระเบีย ว่าซาอุดิอาระเบียไม่อาจจะปกปิดการทำความผิดทางอาญาด้วยการตัดสัมพันธ์ทางการเมืองกับอิหร่าน ความตึงเครียดเพิ่มขึ้นระหว่างสองเพื่อนบ้านในตะวันออกกลาง
+++นายโมฮัมหมัด แบกเฮอร์ โนบัคห์ โฆษกรัฐบาลอิหร่าน แถลงว่า ความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่ลงกับซาอุดิอาระเบีย จะไม่ส่งผลกระทบต่อความก้าวหน้าของประเทศ แต่ซาอุดิอาระเบียจะเป็นฝ่ายที่ลำบากเอง
+++ความเคลื่อนไหวในต่างประเทศ นายจอห์น เคอร์บี โฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯกล่าวว่า นายจอห์น แคร์รี่ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯได้ขอให้รัฐมนตรีต่างประเทศซาอุดิอาระเบียและอิหร่านหาทางลดความตึงเครียด เสนอแนะให้หาทางแก้ไขปัญหาอย่างสันติ ใช้แนวทางการทูตและไม่ใช้ความรุนแรง
+++รัฐบาลจีน เรียกร้องให้ทั้งสองประเทศหาทางพูดคุยและเจรจาต่อรอง
+++ ด้านรัสเซีย ได้ขอให้ทั้งสองประเทศใช้ความอดกลั้น
+++ตุรกีเห็นว่า ทั้งสองประเทศควรใช้วิธีการทูต งดใช้ถ้อยคำยั่วยุหรือข่มขู่ แต่ควรใช้ภาษาการทูต เพื่อไม่ให้ความขัดแย้งระหว่างประเทศทั้งสองขยายวงกว้างออกไปมากกว่านี้ ซึ่งอาจจะกระทบต่อความมั่นคง
+++ฝรั่งเศสร้องขอให้ผู้มีอำนาจดำเนินการตามอำนาจหน้าที่เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงทางศาสนา
+++สถานการณ์ที่ฝรั่งเศส ประธานาธิบดีฟรองซัวส์ โอลลองด์แห่งฝรั่งเศส เปิดผ้าคลุมป้ายที่อดีตสำนักงานหนังสือพิมพ์ชาร์ลีเอ็บโด ในโอกาสครบรอบ 1 ปีเหตุกราดยิงที่สำนักงานสื่อแนวล้อเลียนรายสัปดาห์ ประธานาธิบดีฟรองซัวส์ โอลลองด์พร้อมด้วยนางอานน์ ฮิดัลโก นายกเทศมนตรีกรุงปารีส วางพวงหรีดที่แท่นป้ายจารึกชื่อผู้เสียชีวิต 11 คนจากเหตุกราดยิงสำนักงานชาร์ลีเอ็บโดทางตะวันออกของกรุงปารีส ท่ามกลางบรรยากาศโศกเศร้าและฝนตกโปรยปรายระหว่างพิธีรำลึก
+++ไปที่ประเทศอัฟกานิสถาน เกิดเหตุระเบิดขนาดเล็ก อยู่ห่างออกมาราว200เมตรจากสถานกงสุลของอินเดียในเมืองจาลาลาบัดทางตะวันออกของอัฟกานิสถานแต่โชคดีไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บ
+++โฆษกกระทรวงการต่างประเทศอินเดีย แถลงว่า สถานกงสุลอินเดียไม่ได้เป็นเป้าหมายของการโจมตีและบริเวณใกล้เคียงกันนั้นยังมีที่ตั้งของสถานกงสุลปากีสถานและอิหร่านด้วย
+++รอยเตอร์ รายงานอ้างเจ้าหน้าที่ดูแลชายฝั่งตุรกีว่า เรืออพยพลำหนึ่งอัปปางขณะพยายามจะแล่นมุ่งหน้าไปยังเกาะเลสบอสของกรีซ พบผู้เสียชีวิต 27 ศพ รวมถึงทารก 3 ศพ ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ตุรกีสามารถช่วยเหลือผู้อพยพอย่างปลอดภัยได้ 12 คน พร้อมทั้งส่งเรืออีก 3 ลำและเฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่ง ร่วมค้นหาผู้รอดชีวิต เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ยังไม่ทราบสัญชาติของผู้เสียชีวิต การแล่นเรือข้ามทะเลเข้ายุโรปของกลุ่มผู้อพยพ ส่วนใหญ่เป็นชาวซีเรีย ลดลงในช่วงปลายปีที่แล้ว อีกทั้งเป็นช่วงอากาศหนาวจัด สำหรับตัวเลขรวมของผู้อพยพที่เดินทางเข้ายุโรปสูงกว่า 1 ล้านคน
+++นายวูล์ฟกัง อัลเบอร์ส หัวหน้าตำรวจเมืองโคโลญจน์ เยอรมนี เปิดเผยว่า มีผู้หญิงราว90คนแจ้งว่าถูกปล้น ข่มขู่คุกคามหรือไม่อนาจารทางเพศและมีอยู่รายหนึ่งบอกว่าถูกข่มขืนในช่วงฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่บริเวณด้านนอกของวิหารเมืองโคโลญจน์ด้วยฝีมือของผู้ชายในวัยหนุ่มส่วนใหญ่จะเมาสุราด้วย จากคำบอกเล่าของพยานระบุด้วยว่าผู้ชายราว 1,000คนจะแยกออกไปเป็นกลุ่มแล้วลงมือทำร้ายผู้หญิงซึ่งพยานบางคนให้การด้วยว่าลักษณะของผู้ชายเหล่านี้คล้ายกับว่าจะมาจากแอฟริกาเหนือหรือไม่ก็เป็นคนอาหรับอายุตั้งแต่ 18-35ปี
+++เหตุการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกต่อต้านอย่างรุนแรงในประเทศเยอรมนี ซึ่งนางอังเกลา แมร์เคิลนายกรัฐมนตรีหญิงแห่งเยอรมนีได้ใช้นโยบายเปิดรับผู้อพยพที่หลบหนีภัยสงครามจากประเทศในตะวันออกกลางและแอฟริกาเข้ามาเป็นผู้อพยพย้ายถิ่นฐานเพื่อตั้งต้นชีวิตใหม่ในยุโรป
+++ขณะที่ นางอองรีเอตต์ เรเกอร์นายกเทศมนตรีเมืองโคโลญจน์กล่าวว่า ไม่มีเหตุผลที่เชื่อได้ว่าคนที่ก่อเหตุคุกคามกับผู้หญิงในเมืองโคโลญจน์เป็นผู้อพยพ“
+++เหตุแผ่นดินไหวรุนแรงในอินเดียขนาด 6.7 เมื่อเช้าวันจันทร์ตามเวลาท้องถิ่น ในรัฐมณีปุระซึ่งมีพรมแดนติดต่อกับประเทศเมียนมา ทำให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 13 ศพแล้ว โดยเป็นชาวอินเดีย 8 ศพ และชาวบังกลาเทศ 5 ศพ ขณะที่ประชาชนเกือบ 2,000 คน ต้องไร้ที่อยู่อาศัย และออกจากพื้นที่เพื่อให้เจ้าหน้าที่อินเดียเข้าประเมินความเสียหาย ซึ่งแผ่นดินไหวดังกล่าวสร้างรอยร้าวบนกำแพงและก่อให้เกิดอาคารถล่ม เจ้าหน้าที่กู้ภัยไม่พบว่ามีผู้ใดติดอยู่ใต้ซากปรักหักพัง
+++เหตุเพลิงไหม้รถขนส่งสาธารณะในเมืองหยินฉวนของเขตหนิงเซี่ย ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน มีผู้เสียชีวิต 14 ศพ และมีผู้ได้รับบาดเจ็บถึง 32 คน ในจำนวนนี้ 8 คนอาการสาหัส สาเหตุคาดน่าจะเป็นการวางเพลิง เจ้าหน้าที่รู้ตัวผู้ต้องสงสัยแล้ว เป็นชายวัย 33 ปี ยังไม่ทราบมูลเหตุจูงใจ ตำรวจกำลังสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น