การประชุมหารือถึงผลการตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่เกี่ยวข้องกับพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 บ่ายวันนี้ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานคณะกรรมการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) พร้อมด้วยนายแพทย์ประทีป ธนกิจเจริญ รักษาการเลขาธิการ (สปสช.) ประชุมร่วมกับคณะกรรมการฯ ถึงกรณีประเด็นดังกล่าว
นายนิมิตร์ เทียนอุดม กรรมการ (บอร์ด สปสช.) ภาคประชาชน เปิดเผยก่อนร่วมประชุมครั้งสุดท้ายก่อนจะหมดวาระว่า เนื้อหาการตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกาครั้งนี้ จะกระทบต่อการใช้เงินงบประมาณของโรงพยาบาล ซึ่งจะกระทบโดยตรงต่อผู้ให้บริการ และจะกระทบไปถึง ประชาชนผู้ใช้บริการ ดังนั้นจึงอยากให้คณะกรรมการ สปสช. ทบทวนและส่งหนังสือกลับไปยังกฤษฎีกา ว่าการตีความนี้จะกระทบต่อการเข้าถึงของประชาชน และบอร์ด สปสช. ไม่ควรเห็นด้วย และเสนอแนะการตีความกลับกับที่กฤษฎีกา
นายนิมิตร์ เปิดเผยว่า ผลจากการตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับการใช้จ่ายงบประมาณกองทุนบัตรทองที่เพิ่งออกมา ได้ทำลายหลักการของระบบไปแล้ว เนื่องจากได้ห้ามโรงพยาบาลในระบบ 30 บาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข นำเงินรายหัวไปจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายประจำของโรงพยาบาล อาทิ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าจ้างลูกจ้างชั่วคราว ค่าตอบแทนการปฏิบัติงานนอกเวลาของเจ้าหน้าที่ ค่าตอบแทนภาระงาน โดยระบุว่า เพราะไม่ใช่ค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุข ซึ่งเห็นว่าเป็นการตีความคับแคบ ว่าต้องจ่ายตรงให้ผู้ป่วย ซึ่งทำให้เกิดปัญหามาก เพราะเมื่อก่อนโรงพยาบาล ได้รับเงินเหมาจ่ายรายหัว และนำไปใช้จ่ายในหมวดเงินบำรุง ซึ่งการใช้จ่ายเป็นค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าจ้างลูกจ้าง ทั้งหมดก็เพื่อบริการประชาชน และถ้าไม่เอาเงินตรงส่วนนี้ โรงพยาบาลจะเอางบประมาณตรงไหนไปจัดการเรื่องดังกล่าว โดยเฉพาะค่าจ้างบุคลากรชั่วคราว หรือการจ่ายค่าตอบแทนตามภาระงาน การทำงานนอกเวลา เพื่อขวัญกำลังใจบุคลากร หากยังไม่สามารถใช้จ่ายได้อีก ถือเป็นการทำลายขวัญกำลังใจคนทำงาน
นอกจากนี้ ก่อนเริ่มประชุม นายอภิวัฒน์ กวางแก้ว ตัวแทนกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ พร้อมด้วย นายธนพลธ์ ดอกแก้ว ประธานชมรมเพื่อนโรคไตแห่งประเทศไทย ได้เดินทางมายื่นหนังสือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพื่อสนับสนุนแก้ไขปัญหาอุปสรรคในการจัดซื้อยาของ สปสช. เนื่องจากเห็นว่า การที่คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณในภาครัฐ (คตร.)มีความเห็นว่ารายการค่าใช้จ่ายการจัดซื้อยาแพง อาทิ ยามะเร็ง ยาโรคไต ยาโรคเอดส์ ให้อำนาจการจัดซื้อเวชภัณฑ์ดังกล่าว เป็นอำนาจของหน่วยบริการนั้น จะทำให้รัฐเสียงบประมาณที่สูงกว่า จึงเห็นว่า สปสช. ควรแก้ไขปัญหาการจัดซื้อยาดังกล่าวนี้ มิฉะนั้นจะทำให้รัฐเสียงบประมาณที่สูงขึ้น เช่น ประเภทยาจำเป็นเหล่านี้ ถ้า สปสช. จัดซื้อในจำนวนที่มากก็จะได้ราคาที่ถูกกว่าโรงพยาบาล หน่วยบริการไปจัดซื้อเอง จึงอาจจะทำให้เสียงบประมาณที่สูงขึ้น จึงอยากเสนอ สปสช. ทบทวนในเรื่องดังกล่าว
ผู้สื่อข่าว:วิรวินท์ ศรีโหมด