กรณีที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขอยื่นบัญชีพยานเพิ่มเติมเป็นรอบที่สี่ จำนวน 18 ปาก ในการดำเนินคดีความรับผิดทางละเมิดโครงการรับจำนำข้าว ในส่วนของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงและกำหนดค่าความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าว กระทรวงการคลัง พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลรู้สึกอ่อนระอาใจกับพฤติกรรมเตะถ่วงเวลาการพิจารณาคดีของนางสาวยิ่งลักษณ์ เพราะเมื่อการสอบปากคำพยานใกล้จบก็จะขอเพิ่มบัญชีพยานมาอีกถึงสามครั้ง รวมหลายสิบปาก และหลายปากก็ไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กว่าจะประสานติดตามมาให้ข้อมูลได้ก็ใช้เวลายาวนานกว่าที่ควรจะเป็น รัฐบาล อนุมัติขยายเวลาพิจารณาไปสามรอบแล้ว และสิ้นสุดไปเมื่อวันที่ 30 ธ.ค. 2558 ซึ่งถือว่าให้โอกาสอย่างมากที่สุดแล้ว ดังนั้นการขอยื่นบัญชีพยานเพิ่มเป็นรอบที่สี่ อีก 18 ปากและบางคนแทบจะมองไม่ออกว่าเกี่ยวข้องกับคดีอย่างไร เช่น อดีตปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รวมไปถึงผู้ว่าราชการจังหวัด จึงมองเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจาก มีเจตนาให้การพิจารณาคดียื้อเยื้อ และไม่อาจคาดการณ์ได้ว่าพฤติกรรมเพิ่มจำนวนพยานจะสิ้นสุดลงเมื่อใด
พล.ต.สรรเสริญ กล่าวว่า รัฐบาลยึดมั่นในหลักการของกระบวนการยุติธรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้เสียหายได้ชี้แจงแก้ต่างอย่างเต็มที่ และไม่เคยขัดข้องหากการเพิ่มจำนวนพยานจะช่วยให้มีข้อมูลที่มีนัยยะสำคัญ หรือข้อมูลใหม่ต่อการพิจารณาคดี แต่หากเป็นความจงใจกระทำเพียงเพื่อซื้อเวลา และทำให้คดียื้อเยื้อ ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควร เพราะประชาชนรอฟังคำตอบของคดีนี้มายาวนาน และทุกคดีมีอายุความที่ต้องดำเนินการ หากไม่ตั้งอยู่บนเงื่อนเวลาของกฎหมาย รัฐและประเทศชาติก็จะเสียหาย คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงฯ จะเป็นผู้พิจารณาในเบื้องต้นว่า ข้อเท็จจริงที่ได้ดำเนินการติดตามตรวจสอบมาแล้วมีความครบถ้วนสมบูรณ์เพียงใด สมเหตุสมผลหรือเห็นควรอนุญาตให้เพิ่มบัญชีพยานหรือไม่ แล้วจะเสนอความเห็นมายังรัฐบาลอีกครั้งว่าเห็นควรรับคำร้องขอเพิ่มบัญชีพยานหรือไม่ เพราะเหตุใด
CR:แฟ้มภาพ