*มติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเอกฉันท์ รับรอง การจัดตั้ง รัฐบาลแห่งชาติลิเบีย*

24 ธันวาคม 2558, 14:41น.


ที่ประชุม 15 ชาติ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) มีมติเอกฉันท์รับรองการจัดตั้ง "สภาประธานาธิบดีแห่งลิเบีย" ในฐานะรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ  เพื่อยุติการแบ่งแยกทางการเมืองที่ดำเนินมาร่วม 4 ปี โดยมติของยูเอ็นเอสซีจะทำให้รัฐบาลที่จัดตั้งขึ้นใหม่นี้เป็น "อำนาจโดยชอบธรรมเพียงหนึ่งเดียว" ของลิเบีย การเมืองลิเบียแตกออกเป็น 2 ฝ่ายหลังการสิ้นสุดอำนาจของอดีตผู้นำโมอัมมาร์ กัดดาฟี เมื่อปี 2554 โดยรัฐบาลที่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติถูกขับไล่ออกจากกรุงตริโปลีเมื่อเดือน ส.ค. 2557 และต้องใช้เมืองเบงกาซี เมืองใหญ่ที่อยู่ทางตะวันออกเป็นฐานที่มั่น  ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามได้จัดตั้งรัฐบาลขึ้นใหม่อีกหนึ่งชุดในกรุงตริโปลี



ข้อตกลงรัฐบาลแห่งชาติ ได้รับความเห็นชอบจากตัวแทนบางส่วนของทั้ง 2 รัฐบาล ฝ่ายการเมืองอิสระ และผู้นำท้องถิ่นจำนวนหนึ่ง โดยสมาชิก 80 จาก 188 คน ของสภาเบงกาซี และ 50 จาก 136 คน ของสภาตริโปลี ลงนามในข้อตกลงเมื่อวันที่ 17 ธ.ค. ที่โมร็อกโก แม้จะยังคงมีเสียงคัดค้านจากผู้นำของทั้ง 2 รัฐบาล ข้อตกลงกำหนดให้มีการจัดตั้งคณะรัฐบาลที่มีสมาชิก 17 คน ภายใต้การนำของนายฟาเยซ เอล-ซาร์รัจ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ภายใน 30 วัน และมีทำเนียบอยู่ที่กรุงตริโปลี โดยคณะรัฐบาลชุดนี้จะอยู่ในตำแหน่งในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านทางการเมืองเป็นเวลา 2 ปี จนกว่าจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้



นายมาร์ติน คอบเลอร์ ผู้แทนสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ประจำลิเบีย กล่าวว่า ลิเบียจำเป็นต้องมีรัฐบาลที่มีเอกภาพ โดยภารกิจจำเป็นเร่งด่วนหลังจากนี้ คือการต่อสู้กับกลุ่มก่อการร้ายไอเอส ที่เริ่มขยายอิทธิพลไปในหลายพื้นที่ของประเทศ ทั้งทางตะวันตก ตะวันออก และทางใต้ โดยรัฐบาลชุดใหม่จะมีอำนาจในการร้องขอความช่วยเหลือจากต่างชาติ รวมถึงอาจร้องขอการยกเว้นการคว่ำบาตรทางอาวุธจากยูเอ็นเพื่อต่อสู้กับกลุ่มไอเอส



ด้านนายอิบราฮิม ดับบาชี เอกอัครราชทูตลิเบียประจำยูเอ็น กล่าวว่า ขณะนี้ลิเบียยังไม่มีแผนขอความช่วยเหลือจากกองทัพต่างชาติ โดยยืนยันจะรับมือกับกลุ่มไอเอสด้วยกำลังความสามารถของกองทัพลิเบีย ซึ่งอาจต้องพึ่งพาความช่วยเหลือการฝึกฝนด้านการทหารจากประเทศพันธมิตร หรือแม้แต่การเข้าแทรกแซงของกองกำลังตะวันตกในท้ายที่สุด แต่ยังไม่ใช่แผนการในอนาคตอันใกล้นี้ โดยการเข้าไปของกองทัพต่างชาติ ต้องเนื่องมาจากการร้องขอของรัฐบาลลิเบีย หรือเป็นคำสั่งจากยูเอ็นเท่านั้น



รัฐบาลแห่งชาติลิเบียที่จะมีขึ้น ยังมีภารกิจในการร่วมมือกับสหภาพยุโรป (อียู) เกี่ยวกับปฏิบัติการทางทะเลในการกวาดล้างเครือข่ายลักลอบนำผู้อพยพเข้ายุโรปอย่างผิดกฎหมายผ่านทางทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เพื่อบรรเทาวิกฤติผู้อพยพ ที่นับว่ารุนแรงที่สุดสำหรับยุโรปนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา



ที่ประชุม 15 ชาติ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) มีมติเอกฉันท์รับรองการจัดตั้ง "สภาประธานาธิบดีแห่งลิเบีย" ในฐานะรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ  เพื่อยุติการแบ่งแยกทางการเมืองที่ดำเนินมาร่วม 4 ปี โดยมติของยูเอ็นเอสซีจะทำให้รัฐบาลที่จัดตั้งขึ้นใหม่นี้เป็น "อำนาจโดยชอบธรรมเพียงหนึ่งเดียว" ของลิเบีย การเมืองลิเบียแตกออกเป็น 2 ฝ่ายหลังการสิ้นสุดอำนาจของอดีตผู้นำโมอัมมาร์ กัดดาฟี เมื่อปี 2554 โดยรัฐบาลที่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติถูกขับไล่ออกจากกรุงตริโปลีเมื่อเดือน ส.ค. 2557 และต้องใช้เมืองเบงกาซี เมืองใหญ่ที่อยู่ทางตะวันออกเป็นฐานที่มั่น  ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามได้จัดตั้งรัฐบาลขึ้นใหม่อีกหนึ่งชุดในกรุงตริโปลี



นายมาร์ติน คอบเลอร์ ผู้แทนสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ประจำลิเบีย กล่าวว่า ลิเบียจำเป็นต้องมีรัฐบาลที่มีเอกภาพ โดยภารกิจจำเป็นเร่งด่วนหลังจากนี้ คือการต่อสู้กับกลุ่มก่อการร้ายไอเอส ที่เริ่มขยายอิทธิพลไปในหลายพื้นที่ของประเทศ ทั้งทางตะวันตก ตะวันออก และทางใต้ โดยรัฐบาลชุดใหม่จะมีอำนาจในการร้องขอความช่วยเหลือจากต่างชาติ รวมถึงอาจร้องขอการยกเว้นการคว่ำบาตรทางอาวุธจากยูเอ็นเพื่อต่อสู้กับกลุ่มไอเอส



ด้านนายอิบราฮิม ดับบาชี เอกอัครราชทูตลิเบียประจำยูเอ็น กล่าวว่า ขณะนี้ลิเบียยังไม่มีแผนขอความช่วยเหลือจากกองทัพต่างชาติ โดยยืนยันจะรับมือกับกลุ่มไอเอสด้วยกำลังความสามารถของกองทัพลิเบีย ซึ่งอาจต้องพึ่งพาความช่วยเหลือการฝึกฝนด้านการทหารจากประเทศพันธมิตร หรือแม้แต่การเข้าแทรกแซงของกองกำลังตะวันตกในท้ายที่สุด แต่ยังไม่ใช่แผนการในอนาคตอันใกล้นี้ โดยการเข้าไปของกองทัพต่างชาติ ต้องเนื่องมาจากการร้องขอของรัฐบาลลิเบีย หรือเป็นคำสั่งจากยูเอ็นเท่านั้น



รัฐบาลแห่งชาติลิเบียที่จะมีขึ้น ยังมีภารกิจในการร่วมมือกับสหภาพยุโรป (อียู) เกี่ยวกับปฏิบัติการทางทะเลในการกวาดล้างเครือข่ายลักลอบนำผู้อพยพเข้ายุโรปอย่างผิดกฎหมายผ่านทางทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เพื่อบรรเทาวิกฤติผู้อพยพ ที่นับว่ารุนแรงที่สุดสำหรับยุโรปนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา

ข่าวทั้งหมด

X