การร่างรัฐธรรมนูญ ในประเด็น วุฒิสมาชิก นายอุดม รัฐอมฤต โฆษกคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) แถลงความคืบหน้าในการประชุม กรธ. ซึ่งได้พิจารณาหลักการของร่างบทบัญญัติรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวข้องกับวุฒิสภา(ส.ว.) สรุปสาระสำคัญดังนี้ ส.ว.มีจำนวน 200 คน โดยมีที่มาจาก 20 กลุ่ม วุฒิสภาไม่ได้ทำหน้าที่ “สภาพี่เลี้ยง”เหมือนในอดีตที่ผ่านมา แต่ให้ทำหน้าที่โดยให้นำความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์มาช่วยในการบริหารบ้านเมือง โดยกำหนดคุณสมบัติของวุฒิสภา ที่สำคัญ ไม่กำหนดวุฒิการศึกษาว่าต้องจบระดับปริญญาตรี มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในกลุ่มอาชีพนั้น ๆ ไม่ต่ำกว่า 10 ปี ทั้งนี้ผู้ที่จะลงสมัครส.ว.จะต้องมีความผูกพันธ์กับพื้นที่นั้นๆ ประกอบไปด้วยอย่างใดอย่างหนึ่งคือ การเกิด ที่อยู่ในทะเบียนบ้าน ประวัติการศึกษาในพื้นที่และประวัติการทำงานในพื้นที่ ไม่จำกัดสิทธิคู่สมรส หรือบุพการี และบุตรของผู้ดำรงตำแหน่ง ส.ส. หรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น ๆ สามารถสมัครได้โดยตรง โดยไม่ต้องมี “นิติบุคคลที่ไม่แสวงหาผลกำไร” มารับรองเพื่อไม่ให้ผู้สมัครผูกพันกับนิติบุคคลนั้น ๆ
ผู้สมัครต้องเปิดเผยหลักฐานการเสียภาษีย้อนหลัง 1 ปี ส.ว.มีวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี และเป็นได้เพียงวาระเดียวตลอดชีวิต ไม่สามารถกลับมาเป็น ส.ว.ได้อีก ส่วน ส.ว.หากจะออกไปดำรงตำแหน่ง ส.ส. หรือรัฐมนตรี จะต้องพ้นจากตำแหน่ง ส.ว.แล้วเป็นเวลา 5 ปี เพื่อป้องกันไม่ให้ไปผูกพันกับผลประโยชน์ทางการเมือง ในทางกลับกันหากอดีต ส.ส.ต้องการมาสมัคร ส.ว.ก็ต้องพ้นจากการเป็น ส.ส.มาแล้ว 5 ปีเช่นกัน คุณสมบัติของวุฒิสภา ห้ามไม่ให้มีคดีเกี่ยวกับการเลือกตั้งเท่านั้น และถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งจากองค์กรอิสระ หรือศาล แม้คดียังไม่ถึงที่สิ้นสุด เนื่องจากมีการอุทธรณ์ก็ไม่สามารถลงสมัคร ส.ว.ได้
โดยกรณีอดีต ส.ว.ที่พ้นจากตำแหน่งยังไม่ครบ 5 ปี รวมถึงอดีต สปช. สปท.และ สนช.จะสามารถลงสมัคร ส.ว.ตามหลักเกณฑ์ของ กรธ.ได้หรือไม่ ว่า ที่ประชุมกรธ.ยังไม่ได้พิจารณาในเรื่องนี้ แต่ความเห็นส่วนตัวคิดว่าน่าจะสมัครได้เนื่องจากระบบของ ส.ว.เป็นรูปแบบใหม่ รวมไปถึง สปช. สปท. สนช. ล้วนมาจากการแต่งตั้ง ยังไม่เคยใช้หลักเกณฑ์ตามร่างรัฐธรรมนูญในเรื่องเกี่ยวกับที่มา ส.ว.ส่วนตัวจึงเชื่อว่าคนเหล่านี้น่าจะสมัคร ส.ว.ได้
สำหรับการเปิดช่องให้ “คู่สมรส –บุพการี-บุตร” ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมาสมัคร ส.ว.ได้ ซึ่งเปรียบเหมือนกับ “สภาผัว-เมีย” นายอุดม กล่าวว่า กรธ.เล็งเห็นว่าหากปิดช่องดังกล่าวไว้ ก็จะเป็นการตัดสิทธิส่วนบุคล อีกทั้งหน้าที่ของ ส.ว.เน้นเรื่องความรู้ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ในการเข้ามาทำงาน จึงเชื่อว่าคนที่จะเข้ามาเป็น ส.ว.ย่อมเป็นที่ยอมรับจากคนในกลุ่มที่เลือกเข้ามาอยู่แล้ว ประกอบกับรูปแบบการเลือกตั้งทางอ้อมที่มีระบบคัดกรอง 3 ชั้น ตั้งแต่ระดับอำเภอ จังหวัด ประเทศ ก็เชื่อว่าจะได้บุคคลที่เชื่อมโยงกับนักการเมืองได้น้อยลง และหน้าที่ของวุฒิสภาก็ไม่มีเรื่องการถอดถอนนักการเมืองแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่จะไปจำกัดสิทธิคนเหล่านั้น.