+++สำนักพยากรณ์อากาศรัฐบาลฟิลิปปินส์ เปิดเผยว่า พายุดีเปรสชั่นลูกใหม่ ที่ชาวฟิลิปปินส์เรียกชื่อว่า ออนย๊อค มุ่งหน้ายังเกาะมินดาเนาทางภาคใต้ของประเทศ คาดว่าจะขึ้นฝั่งเกาะมินดาเนาในวันนี้ จะทำให้เกิดฝนตกหนัก หลังประชาชนในพื้นที่เกษตรกรรมทางภาคเหนือของประเทศประสบปัญหาน้ำท่วมจากการพัดถล่มของพายุไต้ฝุ่นเมอโลร์ ที่ทำให้มีคนเสียชีวิต 20 ศพ แม้ว่าพายุไต้ฝุ่นจะเคลื่อนตัวออกจากฟิลิปปินส์เมื่อวันพุธ มุ่งหน้าไปยังทะเลจีนใต้ แต่ยังมีระดับน้ำท่วมสูงราว 1 เมตรในพื้นที่เกษตรกรรมทางตอนเหนือของกรุงมะนิลา
+++ด้านนางแองจี บลังโก เจ้าหน้าที่บริหารอุบัติภัยท้องถิ่น คาดว่า ระดับน้ำท่วม จะเพิ่มขึ้นอีกหลังน้ำจากพื้นที่สูงในท้องที่อื่นๆของเกาะลูซอนไหลไปสมทบน้ำในที่ราบต่ำที่ท่วมอยู่ก่อนแล้ว คาดว่า บางแห่งระดับน้ำท่วมจะสูงราว 4-5 ฟุต หน่วยงานท้องถิ่น อยู่ระหว่างเตรียมพร้อมรับมือกับพายุลูกใหม่ รวมถึงการอพยพชาวบ้าน การกำหนดพื้นที่เสี่ยง การจัดตั้งศูนย์อพยพ การเตรียมอุปกรณ์หนักและสิ่งของบรรเทาทุกข์
+++รัฐบาลฝรั่งเศส ประกาศจัดสรรเงินกองทุนจำนวน 300 ล้านยูโร หรือประมาณ 11,790 ล้านบาท จ่ายเป็นค่าชดเชยให้กับผู้บาดเจ็บและญาติผู้เสียชีวิต จากเหตุการณ์กลุ่มก่อการร้ายโจมตีกรุงปารีสหลายจุด เมื่อคืนวันศุกร์ที่ 13 พ.ย.นางคริสติน โตบิลา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมฝรั่งเศส กล่าวในระหว่างการให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ เลอ ปารีเซียง ว่า เงินกองทุนพิเศษของรัฐเพื่อชดเชยให้ผู้เคราะห์ร้าย ได้ใช้จ่ายไปแล้ว 6.7 ล้านยูโร รวมถึง 7 แสน 71,000 ยูโร สำหรับค่าเดินทาง และค่าโรงแรมที่พัก สำหรับครอบครัวที่เดินทางมาไกล เพื่อเยี่ยมผู้บาดเจ็บ หรือระบุตัวตนผู้เสียชีวิต
+++คณะผู้สอบสวนเหตุโจมตีกรุงปารีส กล่าวว่า พนักงานสอบสวนได้พบหลักฐาน ที่เชื่อได้ว่า ผู้ก่อการร้ายบางคนได้ใช้แอพพลิเคชั่นชนิดที่ต้องเข้ารหัสป้องกันข้อความการสื่อสาร เพื่อปกปิดแผนการโจมตีไม่ให้รั่วไหลไปถึงตำรวจ นับเป็นครั้งแรกที่คณะผู้สอบสวน เปิดเผยเรื่องนี้ ระบุว่า มีข้อความบางส่วนที่พนักงานสอบสวนยังไม่สามารถถอดรหัสเพื่ออ่านข้อความได้แต่มีข้อความบางส่วนที่เผอิญคนร้ายคนหนึ่งเผลอไม่เข้ารหัสป้องกัน ปรากฏอยู่ในโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่งที่หล่นอยู่ในจุดเกิดเหตุและพนักงานสอบสวนสามารถเก็บกู้มาได้ แต่ขณะนี้การสอบสวนยังไม่แล้วเสร็จ เนื่องจาก พนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานเกี่ยวกับคนร้ายทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง
+++รัฐมนตรีคลังของ 15 ชาติสมาชิกของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็นเอสซี นัดประชุมกันที่สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ (ยูเอ็น) ในนนครนิวยอร์ก ของสหรัฐฯ เพื่อออกมติขัดขวางเส้นทางการเงิน และตัดขาดกลุ่มไอเอส จากระบบการเงินระหว่างประเทศ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในการปราบปรามกลุ่มก่อการร้ายกลุ่มนี้ 193 ประเทศสมาชิกของยูเอ็น ต้องรีบรวบรวมรายชื่อบุคคลและองค์กร เพื่อขึ้นบัญชีดำคว่ำบาตร และดำเนินการอย่างเด็ดขาด ในการตัดการเข้าถึงเงินทุนของไอเอส และให้ส่งรายงานให้ยูเอ็น ภายใน 120 วัน ว่าประเทศใดดำเนินการอย่างไรบ้าง ในการขัดขวางการสนับสนุนเงินทุนแก่กลุ่มไอเอสและกลุ่มอัลกออิดะห์ นอกจากนั้น ยังร้องขอให้ นายบัน คี-มูน เลขาธิการยูเอ็น จัดทำ รายงานระดับยุทธศาสตร์ เบื้องต้น ภายใน 45 วัน เกี่ยวกับแหล่งที่มาของเงินทุนกลุ่มไอเอสและเครือข่าย ซึ่งรวมถึง การลักลอบขายน้ำมัน วัตถุโบราณ และทรัพยาธรธรรมชาติอื่นๆด้วย
+++ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซีย ประณามรัฐบาลตุรกีด้วยถ้อยคำรุนแรงอีกครั้งว่าเข้าข้างสหรัฐฯ กรณีการยิงเครื่องบินรบลำหนึ่งของรัสเซียตกเมื่อเดือนก่อน ว่า เป็นการทำที่มุ่งร้าย แต่รัสเซียไม่ใช่ประเทศที่ต้องการจะหนีปัญหา ส่วนสถานการณ์ในซีเรีย ผู้นำรัสเซีย กล่าวว่า รัสเซียจะเดินหน้าปฏิบัติการโจมตีทางอากาศในซีเรียต่อไป จนกว่ากระบวนการทางการเมืองจะเริ่มต้น ซึ่งทั้งหมดต้องอยู่ที่การตัดสินใจของชาวซีเรียว่าเมื่อใดจะยุติการสู้รบและนั่งลงเจรจา
+++ส่วนประเด็นเศรษฐกิจ ผู้นำรัสเซีย ยอมรับว่าได้รับผลกระทบรุนแรงมากจากวิกฤติเศรษฐกิจในปีนี้เพราะเศรษฐกิจรัสเซียต้องพึ่งพาราคาน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ ในตอนแรก รัสเซีย คาดว่า ราคาน้ำดิบเบรนท์ในตลาดกรุงลอนดอน อังกฤษจะอยู่ที่ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล แต่ปรากฏว่าร่วงมาที่ 50 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล รัสเซียจึงต้องปรับลดตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ แต่จุดที่เลวร้ายที่สุดของวิกฤติผ่านพ้นไปแล้ว
+++ไชน่า เซาเทิร์น แอร์ไลน์ส ซึ่งเป็นสายการบินขนาดใหญ่สุดของจีนและของเอเชีย ประกาศการสั่งซื้อเครื่องบินโดยสารรุ่นใหม่ 3 แบบรวม 110 ลำ มูลค่า 10,120 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 3 แสน 63,766 ล้านบาท) จากบริษัทโบอิ้งของสหรัฐ เพื่อตอบสนองต่อการเดินทางโดยเครื่องบิน
+++ ส่วนประเด็นที่ รัฐบาลประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ ประกาศขายอาวุธให้ไต้หวันมูลค่า 1,830 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 65,880 ล้านบาท นับเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี แต่การเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ ครั้งนี้ เรียกเสียงตำหนิและการขู่ตอบโต้จากจีน ซึ่งเป็นคู่ปรปักษ์ของไต้หวัน และจีนยังต้องการให้สหรัฐฯล้มเลิกแผนการขายอาวุธ เพื่อหลีกเลี่ยงการส่งกระทบต่อความสัมพันธ์ช่องแคบไต้หวัน และระหว่างจีนกับสหรัฐฯ หลังจากนั้นตามมาด้วยการประท้วงทางการทูตต่อสหรัฐฯอย่างเป็นทางการ
+++ขณะที่โฆษกสถานทูตสหรัฐฯ ปฏิเสธแสดงความเห็นก่อนหน้านั้น รัฐบาลอเมริกันแจ้งต่อสภาคองเกรสว่า ได้เสนอขายอาวุธจำนวนหนึ่ง รวมถึงเรือฟรีเกต 2 ลำที่กองทัพสหรัฐฯได้ปลดประจำการไปแล้วให้แก่ไต้หวัน ตลอดจนจรวดยิงรถถัง และจรวดสติงเกอร์ที่ยิงจากพื้นสู่อากาศ สภาคองเกรสสนับสนุนศักยภาพทางทหารของไต้หวัน เนื่องจากจีนขยายอิทธิพลมากขึ้นในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม สภาคองเกรสมีเวลา 30 วันในการพิจารณาการขายอาวุธแก่ไต้หวัน และไม่น่าจะคัดค้าน เพราะสมาชิกทั้งพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันต่างวิตกกันว่า ไต้หวันขาดแคลนอาวุธดี ๆ ในการป้องกันตัวเอง
+++ไปที่กัมพูชา กลุ่มเจ้าของโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า ร้องเรียนนายกรัฐมนตรีฮุนเซน ขอให้ช่วยหยุดยั้งการผละงานประท้วง เรียกร้องขอขึ้นค่าแรงของกลุ่มคนงาน โดยระบุการประท้วงทำลายบรรยากาศการลงทุนในอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของภาคการส่งออกของประเทศ คนงานในจังหวัดสวายเรียง ทางภาคตะวันออก ปักหลักผละงานประท้วงตั้งแต่เมื่อวันพุธ เพื่อขอขึ้นค่าแรงอีก 20 ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นเดือนละ 148 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 5,320 บาท กลุ่มเจ้าของโรงงาน กล่าวว่า การประท้วงทำให้เกิดการบาดเจ็บ อาคารสถานที่ได้รับความเสียหายหนัก ปัญหาค่าแรงเป็นประเด็นอ่อนไหวในกัมพูชา ซึ่งมีคนงานประมาณ 7แสนคน ทำงานในโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าและผลิตรองเท้ากว่า 700 แห่งทั่วประเทศ เมื่อปี 2557 กัมพูชาส่งออกผลิตภัณฑ์เหล่านี้ รวมมูลค่าประมาณ 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไปยังสหรัฐฯและยุโรป ปัจจุบันแกนนำสหภาพแรงงานพยายามต่อรอง ขอขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นเดือนละ 160 ดอลลาร์สหรัฐฯ (5,751 บาท) ในปี พ.ศ. 2559 แต่เจ้าของโรงงานส่วนใหญ่ยอมตกลงที่เดือน 140 ดอลลาร์สหรัฐฯ (5,032 บาท)
CR:Reuters