*นายกฯกัมพูชาเยือนไทยพรุ่งนี้/พล.อ.ประวิตร คาดสัปดาห์หน้าได้รับผลสอบราชภักดิ์/ออสเตรเลีย สกัดคนร่วมรบไอเอส*

17 ธันวาคม 2558, 19:49น.


+++พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.สมหมาย เกาฏีระ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้แทนเหล่าทัพ เดินทางเยือนลาว อย่างเป็นทางการ พร้อมร่วมประชุมคณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดนทั่วไป ไทย – ลาว ครั้งที่ 22 (จีบีซี 22 ) กับ พล.ท.แสงนวน ไซยะลาด รมว.กระทรวงป้องกันประเทศสปป.ลาวและคณะ ระหว่างวันที่ 17 – 18 ธ.ค. ที่กรุงเวียงจันทน์ เพื่อหารือเรื่องการรักษาความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดนที่ประชุมกันทุกปี ความร่วมมือในการป้องกันยาเสพติด และจะเดินทางกลับในวันพรุ่งนี้ (18 ธ.ค.)เพื่อต้อนรับ นายกรัฐมนตรี ฮุน เซ็น นายกรัฐมนตรีประเทศกัมพูชาและคณะ ที่จะเดินทางมาประเทศไทย เพื่อหารือปัญหาตามแนวชายแดน การลักลอบตัดไม้ ปฎิเสธว่าไม่ได้มีการพูดคุยในเรื่องความร่วมมือในการพัฒนาพื้นที่และการท่องเที่ยวบริเวณเขาพระวิหาร ซึ่งเรื่องดังกล่าวอยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ที่จะต้องประชุมหารือต่อไป



+++ พล.อ.ประวิตร กล่าวถึง กรณีที่มีข่าวว่าสหรัฐฯ อาจจะชะลอการสั่งซื้อสินค้าทะเลจากไทยว่า ยังไม่เห็นเรื่องดังกล่าว ไทยดำเนินการอย่างเต็มที่ ในการแก้ปัญหาประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงานและขาดการควบคุม (ไอยูยู) ซึ่งเขายังไม่ได้สั่งห้ามนำเข้าสินค้าทะเลจากไทย ทั้งเรื่องการค้ามนุษย์และเรื่องการทำประมงผิดกฎหมาย พร้อมทั้งให้เจ้าหน้าที่ ชี้แจงไอยูยูอย่างเต็มที่ว่าไทยดำเนินการอะไรไปบ้าง



+++พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่หนักใจกรณี พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 และอดีตหัวหน้าชุดสอบสวนคดีค้ามนุษย์โรฮิงญา ที่อาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์การแก้ไขปัญหาค้ามนุษย์ของไทย ขอให้ พล.ต.ต.ปวีณ กลับมาบอกว่าใครข่มขู่ ในส่วนตัวยืนยันเอาเกียรติยศและตำแหน่งคุ้มครอง



+++การตรวจสอบโครงการอุทยานราชภักดิ์ ของคณะกรรมการชุดกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า สัปดาห์หน้าจะได้ข้อสรุปหรือไม่ยังไม่ทราบ ต้องไปสอบถาม พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รองปลัดกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบ เพราะให้คณะทำงานได้ทำงาน และเมื่อได้รับทราบผลการตรวจสอบแล้ว พล.อ.ชัยชาญ สามารถแถลงได้ ซึ่งคิดว่าไม่มีอะไรน่าหนักใจ ทุกอย่างทำไปตามข้อเท็จจริง และหากผลสรุปออกมาแล้วสังคมยังไม่คลายความสงสัย ก็ยังมีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)ที่กำลังดำเนินการตรวจสอบอยู่ 



+++ศาลอาญา รัชดา อ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายปกิต กิระวานิช อดีตอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ นายศิริธัญญ์ ไพโรจน์บริบูรณ์ อดีตรองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ และนางยุวรี อินนา ผู้รับผิดชอบโครงการ เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานกระทำการทุจริตต่อหน้าที่ เป็นการเสียหายแก่รัฐ และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัตหน้าที่โดยมิชอบ จากกรณีทุจริตโครงการก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสีย ตำบลคลองด่าน จังหวัดสมุทรปราการ มูลค่ากว่า 23,700 ล้านบาท ระหว่างปี 2538-2546



ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ขณะเกิดเหตุ นายปกิต ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ร่วมกับ นายศิริธัญญ์ รองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ และประธานคณะกรรมการคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมเพื่อเป็นผู้มีสิทธิเข้าประกวดราคา และนางยุวรี นักวิชาการสิ่งแวดล้อม 7 ผู้รับผิดชอบโครงการ และกรรมการคัดเลือกฯ ได้ร่วมกันกับบริษัทคลองด่านมารีน แอนด์ ฟิชเชอรี่ จำกัด และกลุ่มกิจการร่วมค้าเอ็นวีพีเอสเคจี รวม 4 แห่ง ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนที่ถูกตั้งขึ้นมา ให้เข้าร่วมประมูลโครงการ และช่วยปกปิดบิดเบือนเรื่องการปั่นราคาประมูล ออกโฉนดที่ดินโดยมิชอบ และข้อเท็จจริง  ให้ได้รับผลประโยชน์จากราชการโดยมิชอบ ทำให้ราชการได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง  ศาล จึงเห็นว่านายปกิตกับพวกรวม 3 คนกระทำผิดจริงตามฟ้อง พิพากษาจำคุกจำเลยทั้ง 3 คนละ 20 ปี โดยไม่รอลงอาญา  ภายหลังการฟังคำพิพากษา ศาลอนุญาตให้ประกันตัวจำเลยทั้ง 3 คน ในวงเงินคนละ 2 ล้านบาท และจำเลยทั้ง 3 คนเตรียมยื่นอุทธรณ์ภายในเวลา 1 เดือน



+++ผลการหารือร่วมกันระหว่าง นายหวัง หย่ง (H.E. Mr. Wang Yong) มนตรีแห่งรัฐจีน เข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ที่ ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พลตรีวีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มนตรีแห่งรัฐจีน เดินทางเยือนไทยเพื่อร่วมประชุมคณะกรรมการร่วมว่าด้วยการค้าการลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย – จีน (JC) ครั้งที่ 4 หวังว่า ผลการประชุมจะช่วยส่งเสริมและผลักดัน ด้านการค้าการลงทุน ทั้งสองฝ่าย ยืนยันความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน และยินดีอย่างยิ่งที่ปีนี้ครบรอบ 40 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-จีน



+++ นายกรัฐมนตรี หวังให้การค้าสองฝ่ายขยายตัวเป็นสองเท่าของตัวเลขการค้าในปัจจุบัน และตั้งจำนวนนักท่องเที่ยวจำนวน 10 ล้านคนในปีหน้า ซึ่งมนตรีแห่งรัฐจีนกล่าวว่าในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ มูลค่าการค้าระหว่างทั้งสองฝ่ายมีมากถึง 60,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และคาดว่าภายในสิ้นปีนี้มูลค่าการค้าจะสูงถึง 70,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สำหรับความร่วมมือด้านรถไฟ นายกรัฐมนตรีได้ย้ำถึงความมุ่งมั่นและตั้งใจจริงของไทยในการดำเนินโครงการความร่วมมือด้านรถไฟ ซึ่งความร่วมมือด้านรถไฟมีความสำคัญในภูมิภาคที่ไทยกับจีนจะได้ประโยชน์ร่วมกัน และหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถหาข้อสรุปรวมกันในประเด็นที่ยังค้างคาอยู่โดยเร็ว ซึ่งนอกจากการส่งเสริมความเชื่อมโยงทางระบบราง ไทยกับจีนควรร่วมมือกันส่งเสริมความเชื่อมโยงอื่นๆ ในภูมิภาคด้วย เช่น เส้นทางถนน การขนส่งทางน้ำ และอากาศ 

+++ผลประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) มีมติเอกฉันท์ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 มาอยู่ที่ร้อยละ 0.25 – 0.50 นางจันทวรรณ สุจริตกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า เป็นไปตามการคาดการณ์ของนักลงทุนส่วนใหญ่และของ ธปท. เนื้อหาในแถลงการณ์ของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) สะท้อนมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยให้น้ำหนักกับพัฒนาการของเงินเฟ้อ ทำให้ตลาดคลายกังวลเพราะมองแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของเฟดเป็นลักษณะค่อยเป็นค่อยไป  ดังนั้นในช่วงข้ามคืนจนถึงเช้านี้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จึงแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย กรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินสกุลหลักโดยรวมยังไม่เปลี่ยนแปลงมากนักจากช่วงก่อนหน้า สกุลภูมิภาคส่วนใหญ่ปรับอ่อนค่าลงบ้างตอบรับข่าวการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed  เงินบาทแข็งค่าขึ้นในจังหวะสั้นๆ แล้วอ่อนค่าสอดคล้องกับเงินภูมิภาค เคลื่อนไหวระหว่าง 36.08 – 36.12 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ



+++ดัชนีหุ้นไทยปิดตลาด 1,310.34 จุดเพิ่มขึ้น 11.22 จุดมูลค่าซื้อขายกว่า 45,609.64 ล้านบาท



+++การลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ ดัชนีนิเคอิ ตลาดหุ้นโตเกียว ญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 303.65 จุด ปิดที่ 19,353.56 จุด ฮั่งเส่ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดที่ 21,872.06 จุด เพิ่มขึ้น 170.85 จุด 



+++ข้อคิดเห็นต่อการแข่งขันในการประมูลคลื่น 4G (900 MHz) นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ระบุว่า คนไทยไม่คุ้นเคยกับการแข่งขัน ทั้งที่การแข่งขันก่อให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคมมากมาย  เช่น การประมูลคลื่น 4G ทั้ง 2 ครั้งสร้างรายได้มหาศาลแก่รัฐบาล  ซึ่งลดความจำเป็นในการเก็บภาษีเพิ่มจากประชาชน  ในขณะที่ไม่ก่อให้เกิดผลเสียแก่ประชาชนในฐานะผู้บริโภค   นอกจากนี้ การประมูลดังกล่าวยังไม่สร้างภาระที่สูงเกินไปแก่ผู้ประกอบการ เช่น มูลค่าคลื่น 4G ในย่าน 1800 MHz ที่ AIS ประมูลได้ เพื่อนำไปประกอบธุรกิจ 18 ปี เทียบเท่ากับกำไรสุทธิของบริษัทเพียง 1.13 ปีเท่านั้น   ส่วนมูลค่าการประมูลคลื่นในย่าน 900 MHz อาจสูงกว่าที่คาดหมายไปมาก แต่ก็น่าจะเกิดจากการวางแผนทางธุรกิจอย่างรอบคอบของผู้ประกอบการแล้ว หวังว่า การประมูลคลื่น 2 ครั้ง ตลอดจนการประมูลคลื่นโทรทัศน์ดิจิทัล จะเป็น มาตรฐานใหม่ ในการจัดสรรคลื่นความถี่ ตลอดจนการที่รัฐจะดำเนินโครงการต่างๆ ร่วมกับเอกชน 



+++การประมูล เมื่อเวลา 19.00 น. ประกาศผลการเคาะประมูลรอบที่ 138 ช่วงคลื่นที่ 1 มีผู้เคาะประมูล 0 ราย – ราคา 56,334 ล้านบาท ช่วงคลื่นที่ 2 มีผู้เคาะประมูล 2 ราย – ราคา 58,910 ล้านบาท ราคารวม 2 ใบอนุญาตอยู่ที่ 1 แสน 15,244 ล้านบาท



+++เอเอฟพี รายงานอ้างนายดันแคน ลูอิส ผู้อำนวยการองค์การข่าวกรองความมั่นคงออสเตรเลีย(เอเอสไอโอ) ว่ากระแสชาวออสเตรเลียที่เดินทางเข้าร่วมกลุ่มก่อการร้ายอย่างกลุ่มรัฐอิสลาม(ไอเอส)ในตะวันออกกลางเริ่มลดลงอย่างต่อเนื่อง พร้อมเตือนนักการเมืองให้ลดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ศาสนาอิสลามเนื่องจากอาจจะก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อความมั่นคงของประเทศ ความสำเร็จดังกล่าวเป็นผลมาจากกฎหมายใหม่ที่อนุญาตให้ทางการสามารถยกเลิกพาสปอร์ตของชาวออสเตรเลีย ที่ต้องสงสัยว่าจะไปสู้รบในต่างแดน นอกจากนี้กระแสความตื่นตัวต่อปัญหานี้ของชุมชนและครอบครัวมีส่วนทำให้ปัญหานี้ลดลงเช่นเดียวกัน นายจอร์จ แบรนดิส อัยการสูงสุดของออสเตรเลีย ระบุว่า มีชาวออสเตรเลีย 110 คนไปร่วมสู้รับกลุ่มกลุ่มไอเอสในซีเรียและอิรัก ลดลงเมื่อเทียบกับตัวเลขประเมินครั้งก่อนคือ 120 คน ด้านซูฟาน กรุ๊ป บริษัทที่ปรึกษาด้านความมั่นคงในนครนิวยอร์ก สหรัฐฯ รายงานว่าตั้งแต่ปี 2554 มีประชาชนระหว่าง 27,000 - 31,000 คนจาก 86 ประเทศ มุ่งหน้าสู่อิรักและซีเรียเพื่อเข้าร่วมต่อสู้กับกลุ่มไอเอส



CR:ทำเนียบรัฐบาลไทย



 



 

ข่าวทั้งหมด

X