ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้ 08.30น.
+++วันนี้ ต้องติดตาม นายแดเนียล รัสเซล ผู้ช่วยรัฐมนตรีด้านกิจการเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาหลัง เข้าพบ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เมื่อวานนี้แล้วก็ทำให้เห็นถึงปฏิกิริยาร้อนรนอยู่ไม่น้อย ซึ่งสะท้อนจากคำพูดของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ออกมาเปิดเผยทำให้เห็นภาพบวกของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศที่ก่อนหน้านี้มองว่ามหาอำนาจประชาธิปไตยกดขี่ประเทศเล็กอย่างไทยที่เป็นเผด็จการ
โดยสหรัฐอเมริกาเองแสดงความเข้าใจ พร้อมบอกว่าในเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องที่อาจถูกนำไปเป็นประเด็นได้ ขอให้ประเทศไทยระมัดระวังเรื่องนี้ โดยนายกรัฐมนตรียืนยันว่าได้ระมัดระวังเรื่องนี้ แต่ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นเป็นข่าวที่ออกมาล้วนแต่มีเบื้องหน้า เบื้องหลังทั้งนั้น เพราะไม่ใช่พลังการเคลื่อนไหวที่บริสุทธิ์ แต่ต้องการสร้างประเด็นให้สหรัฐอเมริกามาสนใจ มากดดัน ให้ต่างประเทศและองค์กรระหว่างประเทศมากดดัน ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีของไทยอยากให้มองหลายมุม อย่ามองมุมประชาธิปไตยมุมเดียว และขอให้มองแง่มุมของเรื่องความมั่นคง ความปลอดภัยของประเทศด้วย ซึ่งเป็นการเตือนให้สหรัฐอเมริกามองหลายมุมมอง
+++นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมด้านการค้า การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย-จีน ครั้งที่ 4 ณ ทำเนียบรัฐบาล และจะแถลงผลในช่วงเย็น
+++ การประมูลคลื่น 900 MHz ของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) ก้าวเข้าสู่วันที่ 3 หลังจากเริ่มต้นประมูลรอบแรกเมื่อเวลา 9.00 น. วันที่ 15 ธ.ค. 2558 ล่าสุด ในการประมูลรอบที่108 สิ้นสุดเมื่อเวลา 05.55 น. วันนี้ (17 ธ.ค. 2558) ใบอนุญาตแรก มีผู้เสนอราคาเพิ่ม 1 ราย ทำให้ราคาขึ้นอยู่ที่ 47,640 ล้านบาท คิดเป็น 296% ของมูลค่าคลื่น ใบอนุญาตที่ 2 มีผู้เสนอราคาเพิ่ม 1 ราย ทำให้ราคาขึ้นไปอยู่ที่ 49,250 ล้านบาท คิดเป็น 306% ของมูลค่าคลื่น รวม 2 ใบอนุญาต มีรายได้เข้ารัฐแล้ว 96,890 ล้านบาทโดยตามกฎการประมูลของกสทช. หากการเสนอราคายังไม่สิ้นสุด จะมีการพักการประมูลชั่วคราวภายหลังการประมูลรอบที่ 108 โดยจะพักเบรกระหว่างเวลา 06.00– 09.00 น. ก่อนจะเริ่มประมูลต่อเป็นรอบที่ 109 ในเวลา 9.00 น. ของวันนี้
+++สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาเร่งด่วนตั้งคณะกรรมาธิการสามัญทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติและจริยธรรมของบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งประธานและกรรมการ ป.ป.ท.
+++ปิดฉากยักยอกทรัพย์ธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ หรือบีบีซี 3 คดี โดยคดีแรกพนักงานอัยการฝ่ายคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 2 และบีบีซี ร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้องนายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ หรือเสี่ยตั้ว อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่บีบีซี, นายจิตตสร ปราโมช ณ อยุธยา อดีตรองผู้อำนวยการ สำนักกรรมการผู้จัดการใหญ่, ม.ร.ว.ดำรงเดช ดิศกุล อดีตผู้บริหารอาวุโส สำนักบริหารเงินและวิเทศกิจ และ ม.ร.ว.หญิงสุภาณี สารสิน หรือดิศกุล อดีตรองผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดบีบีซี ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานร่วมกัน ยักยอกทรัพย์และ พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 จำคุกคนละ 6 ปี 8 เดือน และปรับคนละ 666,666.66 บาท รวมทั้งให้จำเลยที่ 1 คืนเงินบีบีซี 167,090,118.28 ดอลลาร์สหรัฐ และให้จำเลยที่ 2-4 ร่วมชดใช้เงินกับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 85,733,882.04 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อมาจำเลยยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสี่ยื่นฎีกา โดยระหว่างพิจารณาคดีจำเลยที่ 1 นายเกริกเกียรติเสียชีวิต
+++ส่วนคดีที่ 2 ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา พนักงานอัยการฝ่ายคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร และบีบีซี ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายเกริกเกียรติ, ม.ร.ว.อรอนงค์ เทพาคำ อดีตรองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารเงินและวิเทศธนกิจ และ น.ส.เยาวลักษณ์ นิตย์ธีรานนท์ อดีตรองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารเงินและวิเทศธนกิจ เป็นจำเลยที่ 1-3 โดยจำเลยทั้งสามร่วมกับนายราเกซยักยอกทรัพย์บีบีซี มูลค่า 1,228,896,438 บาท จากการลงนามทำสัญญาแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ธนบัตรระหว่างบีบีซีกับบริษัท ดิเวลลอปเมนท์ ไฟแนนซ์ แอนด์ อินเวสเมนท์ จำกัด เมื่อเดือนพฤษภาคม 2538 โดยลงโทษบทหนักสุดให้จำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 2 กระทง กระทงละ 10 ปี รวมจำคุกคนละ 20 ปี และให้ปรับ 1,157,244,186.28 บาท พร้อมให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้เงินคืนแก่บีบีซี 589,622,043.04 และ คดีที่ 3 ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีที่อัยการกองคดีเศรษฐกิจ 2 เป็นโจทก์ฟ้องนายเกริกเกียรติ นางพรจันทร์ จันทรขจร และนางสุภาภรณ์ ทิพยศักดิ์ เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานร่วมกันยักยอกทรัพย์บีบีซี จำนวน 200,956,250 บาท เป็นของตนเองและบุคคลที่ 3เมื่อถึงเวลานัดปรากฏว่านางพรจันทร์ จำเลยที่ 2 ไม่ได้เดินทางมา จึงให้ออกหมายจับจำเลยที่ 2 เพื่อมาฟังคำพิพากษา และให้เลื่อนอ่านคำพิพากษาออกไป เพื่อส่งสำนวนคืนไปยังศาลฎีกาให้พิจารณาเหตุเสียชีวิตของนายเกริกเกียรติ จำเลยที่ 1
+++นายวิทยา สุริยะวงค์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวถึงผู้ต้องหาคดียักยอกทรัพย์บีบีซีว่า ม.ร.ว.หญิงสุภาณีจะถูกส่งไปควบคุมตัวยังทัณฑสถานหญิงกลาง ส่วนนายจิตตสรและ ม.ร.ว.ดำรงเดชจะถูกส่งเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ แต่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯมีผู้ต้องขังค่อนข้างมาก จึงอาจพิจารณาปรับย้ายไปยังเรือนจำกลางคลองเปรม อีกทั้งกลุ่มผู้ต้องขังเป็นผู้ต้องขังสูงอายุ จึงต้องจัดสถานที่ให้เหมาะสม เพื่อดูแลเรื่องสุขภาพจิตและความปลอดภัยของผู้ต้องขัง ทุกอย่างเป็นไปตามระเบียบของเรือนจำ "ช่วงนี้กรมราชทัณฑ์ต้องคิดโปรแกรม คุมขังกลุ่มผู้ต้องขังสูงวัยหลายคดี เนื่องจากเป็นห่วงเรื่องสุขภาพและการปรับตัวในเรือนจำ ที่ผ่านมากลุ่มผู้ต้องขังลักษณะดังกล่าวเช่น ผู้ต้องขังคดีธนาคารกรุงไทยเริ่มปรับตัวและ ใช้ชีวิตในเรือนจำได้ดีขึ้น" นายวิทยากล่าว นายอายุฒน์ สินธพพันธุ์ ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ กล่าวว่า จากการตรวจร่างกายพบว่านายจิตตสรมีโรคประจำตัวเป็นโรคต่อมลูกหมาก ส่วน ม.ร.ว.ดำรงเดชมีโรคประจำตัวความดันสูง เบื้องต้นพบว่าทั้งสองคนมีอาการเครียด เนื่องจากเป็นคืนแรกในเรือนจำ ดังนั้นได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่เฝ้าติดตามพฤติกรรมผ่านกล้องวงจรปิดตลอด 24 ชั่วโมง
+++ความคืบหน้า เหตุยิงกันในสวนปาล์มหมดสัมปทาน บ.ยวนสาวการเกษตร จำกัด ม.4 ต.พรุเตียว อ.เขาพนม จ.กระบี่ พบศพผู้เสียชีวิต 3ศพ ประกอบด้วย ร.ต.ท.พญประสิทธิ์ สุวรรณมาลย์ อายุ 45 ปี รอง สวป.สภ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช นายวีรศักดิ์ เกื้อแก้ว อายุ 50 ปี และนาย ปรีชา เกื้อดำ อายุ 44 ปี อดีตผู้ใหญ่บ้าน ทั้งสามมีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนตามร่างกายหลายสิบแผล และยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสอีก 1 ราย ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลกระบี่
+++จาการสอบสวนนายชัยยุทธ รอดแก้ว อายุ 50 ปี อาชีพเป็นทนายความ เบื้องตนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ ตนพร้อมผู้ตายทั้ง 3 คนและพวกรวม 7คน ได้ขับรถเข้าไปในที่เกิดเหตุ เพื่อนำหมายบังคับคดีไปปิดที่บริเวณบ้านพักคนงานในที่เกิดเหตุ เพื่อให้ผู้ที่ครอบครองสวนปาล์มและบริวารออกจากพื้นที่ จากนั้นตนก็ได้ให้ผู้ตายทั้ง 3 คน และผู้บาดเจ็บลงไปพูดคุยทำความเข้าใจกับกลุ่มคนร้ายหลายคนซึ่งนั่งอยู่ที่ม้าหินอ่อนหน้าบ้านพักคนงาน จากนั้นกลุ่มคนร้ายได้ใช้อาวุธปืนยิงใส่พวกตนแบบไม่ยั้งเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 3 คน ด้าน พ.ต.อ.สมเด็จ สุขการ ผกก.สภ.เขาพนม จ.กระบี่ เปิดเผยว่า ในเบื้องต้นคาดว่า สาเหตุเกิดจากความขัดแย้งกรณีแย่งชิงพื้นที่ในปาล์มน้ำมันดังกล่าว ซึ่งมีเนื้อที่กว่า 8,200ไร่ ได้หมดสัญญาสัมปทานปลูกปาล์ม ไปเมื่อวันที่ 18กันยายน 2558 ที่ผ่านมา ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ได้มีการซื้อขายกันหลายมือและมีการฟ้องร้องกันกว่า100 คดี อย่างไรก็ตามในส่วนของคดีเจ้าหน้าที่รู้ตัวคนร้ายที่ก่อเหตุแล้ว เป็นกลุ่มคู่กรณีกับนายชัยยุทธ ซึ่งเจ้าหน้าที่ รู้ตัวแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานติดตัวคนร้ายมาดำเนินคดี คาดว่ามีไม่ต่ำกว่า 4 คน ซึ่งจะได้ติดตามตัวมาดำเนินคดีในเร็วๆนี้ ล่าสุดทั้ง 4คนเข้ามอบตัวแล้ว อยู่ระหว่างการสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
+++วันนี้ ลูกค้าของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จำนวน 1.4 แสนราย ที่เข้าเงื่อนไขตามที่ธนาคารกำหนด สามารถติดต่อขอรับเงินตาม "โครงการของขวัญปีใหม่ 2559" วงเงิน 1,000 บาทได้
+++อาการป่วยของ นายทฤษฎี สหวงษ์ หรือ "ปอ" ที่ เข้ารักษาตัวด้วยอาการไข้เลือดออกที่หออภิบาลผู้ป่วยวิกฤตโรคหัวใจ (ซีซียู) ชั้น 9 อาคารสมเด็จพระเทพรัตน์โรงพยาบาลรามาธิบดีนั้น เมื่อวานนี้ โรงพยาบาลรามาธิบดีออกประกาศฉบับที่ 17 ชี้แจงอาการป่วยของปอว่า ในวันที่ 15 ธันวาคม อาการของผู้ป่วยทรุดลงจากการที่ภาวะปอดขวาติดเชื้ออยู่เดิมลุกลามขึ้น ทำให้การแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนเลวลง จำเป็นต้องได้รับการปรับเพิ่มยาต้านจุลชีพและเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด มากขึ้น นายชวนันท์ สหวงษ์ น้องชายของปอ ให้สัมภาษณ์ ว่าอาการของปอนั้นเป็นสิ่งที่ทางครอบครัวคาดการณ์ไว้ เนื่องจากปอมีการติดเชื้ออยู่แล้ว ความกังวลก็เท่าเดิม เพราะอาการยังทรงๆ ต้องดูเป็นชั่วโมงต่อชั่วโมง ส่วนกำลังใจของครอบครัวค่อนข้างดี ต่างคนต่างให้กำลังใจกัน และพยายามทำทุกอย่างให้เป็นปกติที่สุด เพื่อไม่ให้เศร้า เพราะตอนนี้กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ส่วนความคืบหน้าของอาการให้รอประกาศของแพทย์ ซึ่งคงต้องเฝ้าระวังเป็น ระยะๆ ไปเรื่อยๆ
+++ปิดท้ายศาลจังหวัดตรัง ศาลได้ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษา คดี ที่อัยการจังหวัดตรังกับ นางพนมวรรณ รำมา มารดา น้องเพลง วัย 11 ขวบร่วมเป็นโจทย์ยื่นฟ้อง นายประถมพงษ์ หมื่นบาน หรือ แต๋ม อายุ 36 ปี ผู้ต้องหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และบิดบังอำพรางซ่อนเร้นศพ โดยมี นายสุวัฒน์ รำนา และนางพนมวรรณ รำนา บิดามารดาและญาติๆ ฝั่งโจทย์ รวมถึงญาติฝั่งทางจำเลยร่วมฟังคำพิพากษา ศาลพิพากษาความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 พิพากษาลงโทษประหารชีวิต และ ข้อหาปิดบังการตายและเหตุแห่งการตาย ซ่อนเร้นทำลายศพ ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกตลอดชีวิตและให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทย์ 840,000 บาท
+++หลังฟังคำพิพากษานายสุวัฒน์ และนางพนมวรรณ บิดามารดาของน้องเพลง กล่าวทั้งน้ำตาว่า ดีใจอย่างมากที่ศาลให้ความเป็นธรรมกับครอบครัว ซึ่งหากผู้ต้องหายื่นอุทธรณ์ทางครอบครัวก็จะให้ทนายยื่นแก้คำอุทธรณ์อย่างแน่นอน และขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ขอบคุณเพื่อนๆ และสังคมที่ให้กำลังจนทำให้มีพลังยืนต่อสู้มาได้จนถึงทุกวันนี้ และหลังจากนี้ก็เชื่อว่าคนร้ายจะต้องได้รับการถูกลงโทษอย่างแน่นอน
+++สำหรับคดีฆ่าโหด "น้องเพลง" เด็กหญิงเกตุมาตุ รำนา ได้หายตัวออกไปจากบ้านพักเมื่อวันที่ 9 พ.ค.57 ญาติๆ และเพื่อนบ้านได้ออกติดตามหาตัวแต่ไม่พบจนกระทั่ง 3 วันต่อมา ก็พบเป็นศพถูกยัดท่อระบายน้ำห่างจากบ้านประมาณ 1 กม. สภาพศพมีร่องรอยการถูกทำร้าย ต่อมาเจ้าหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายจับศาลจังหวัดตรัง จับกุมนายประถมพงษ์ หรือ แต๋ม เพื่อนบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้กัน ซึ่งจากการสอบสวนลูกชายของผู้ต้องหาที่เห็นเหตุการณ์ และถูกตำรวจนำตัวไปสอบเค้นจึงยอมให้การมัดบิดาตัวเอง คดีนี้ถือว่าเป็นคดีสะเทือนขวัญและอยู่ในความสนใจของประชาชนและสังคมเป็นอย่างมาก