ในระหว่างวันที่ 23–25 ธันวาคมนี้ รัฐบาลมีกำหนดจัดแถลงผลงานรอบ 1 ปี และแผนงานที่จะดำเนินการต่อไป ซึ่งจะครอบคลุม ด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ซึ่งพล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าแต่ละกลุ่มภารกิจจะนำผลงานเด่นที่คัดสรรแล้วมานำเสนอ พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้สื่อข่าวได้ซักถามแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับรองนายกฯ และรัฐมนตรีเจ้าสังกัดได้โดยตรง นอกจากนี้ยังมีการจัดนิทรรศการแสดงผลงาน ชี้แจงปัญหาสำคัญ อาทิ ปัญหาเรื่องมาตราฐานความปลอดภัยทางด้านการบิน การประมงที่ผิดกฎหมาย การบุกรุกพื้นที่ป่าและพื้นที่สาธารณะ ไปจนถึงโครงการประชานิยมที่ทำให้สภาพเศรษฐกิจบิดเบือนไปจากข้อเท็จจริง ส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวในระยะต่อมา และยังมีปัญหาการเกษตรกรที่ไม่มีความเข้มแข็ง ขาดความสมดุล
โดยนายกรัฐมนตรีจะเยี่ยมชมนิทรรศการและเปิดการแถลงข่าวในวันที่ 23 ธันวาคม กับกล่าวปิดในวันที่ 25 ธันวาคม และจะมีงานเลี้ยงปีใหม่แก่ผู้สื่อข่าวและตัวแทนประชาชนที่ประกอบคุณงามความดีให้กับสังคมในวันสุดท้ายด้วย
ส่วนกรณีแนวคิดที่จะให้ระบุรายได้และอาชีพในบัตรประชาชน พล.ต.สรรเสริญ ชี้แจงว่า ไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน เพราะเป็นการแสดงข้อมูลเพื่อให้นโยบายการลดภาระค่าครองชีพลงสามารถเข้าถึงผู้มีรายได้น้อยโดยตรง ไม่ใช่การเหมารวมทั้งหมด และเพื่อให้ทุกคนเข้าสู่ระบบภาษีที่เหมาะสมตามลำดับรายได้ ตลอดจนเป็นประโยชน์ต่อมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร นอกจากนี้ยังขอให้ผู้ที่ตั้งข้อสังเกต ช่วยเสนอแนะวิธีการแก้ปัญหาด้วย เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน
ด้าน พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่าการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้ จะเสนอให้พิจารณาโครงการอบรมเพื่อเพิ่มผลิตภาพการผลิตของเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง ปี 2558/59 วงเงินประมาณ 1,300-1,400 ล้านบาท ซึ่งมีเกษตรกรเป้าหมายจำนวน 220,500 คน คน เริ่มตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์-พฤษภาคม 2559 ซึ่งเดิมโครงการนี้ใช้งบประมาณ 3,000 ล้านบาท แต่ทางสำนักงบประมาณเห็นว่าสูงไป จึงให้ตัดรายจ่ายค่าจ้างวิทยากรเพราะเป็นหน้าที่โดยตรงของเจ้าหน้าที่ รวมถึงให้ลดค่าอาหารกลางวันลงมาเหลือ 50 บาท/คน ด้วย
มาที่เรื่องการร่างรัฐธรรมนูญ กรณีที่มีการข้อเสนอของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.)ที่จะให้ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลฎีกา และประธานศาลปกครองสูงสุด เป็นผู้หาทางออกเมื่อประเทศเกิดวิกฤติ นายยุทธพร อิสรชัย รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กล่าวว่า แนวคิดเรื่องอำนาจพิเศษมีอยู่ในรัฐธรรมนูญหลายประเทศ แต่ข้อเสนอของ กรธ.ให้อำนาจประธาน 3 ศาล ยังขาดฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ จึงไม่ถือเป็นดุลอำนาจที่เหมาะสม
นายอมร วาณิชวิวัฒน์ โฆษกคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวว่า กรธ.ไม่มีการพิจารณาในเรื่องนี้ และไม่มีเจตนาที่จะมอบอำนาจให้ศาลเป็นผู้ตัดสิน เพราะศาลมีขอบเขตอำนาจในการชี้ขาดเมื่อเกิดกรณีพิพาทในส่วนที่ศาลต้องรับผิดชอบตามที่กฎหมายกำหนดอยู่แล้ว ยืนยันว่า กรธ.ไม่มีเจตนาที่จะผลักภาระให้ศาลโดยไม่จำเป็น
ส่วนสภาปฏิรูปประเทศ (สปท.) ซึ่งนายเสรี สุวรรณภานนท์ ประธาน กมธ.ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง เสนอให้ยกเลิกบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ ซึ่งเปิดโอกาสฝ่ายค้านสามารถยื่นญัตติซักฟอกไม่ไว้วางใจรัฐบาล โดยชี้ว่าเป็นการเล่นเกมต่อรองนั้น นายประสาร มฤคพิทักษ์ อดีตกรรมาธิการ (กมธ.) ปฏิรูปการเมือง สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) แสดงความไม่เห็นด้วย โดยกล่าวว่าจะเป็นการต่อรองหรือไม่ แต่ก็ต้องมีไว้เพื่อเป็นการตรวจสอบถ่วงดุล ซึ่งเป็นกระบวนการที่จำเป็นของระบอบรัฐสภา เปิดเผยให้เห็นถึงความไม่ชอบธรรมของรัฐบาลในประเด็นปัญหา และเป็นการสาธยายสาธารณะที่จะสร้างผลสะเทือนต่อเนื่องไปยังสื่อมวลชนและประชาชนที่จะนำไปขยายผลต่อ รวมถึงเป็นการส่งไม้ต่อให้กับองค์กรตรวจสอบอิสระอื่นๆและศาลยุติธรรม เพื่อนำไปสู่ข้อยุติที่ถูกต้องเหมาะสม
ทั้งนี้ในการที่รัฐบาลจะแถลงผลงาน 1 ปีทางสปท.ก็จะร่วมในการแถลงผลงานเช่นกัน โดยนายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธาน สปท. กล่าวว่า ผลงานของสปท.คือแผนปฏิรูปชุดแรกของคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูป สปท.ทั้ง 11 ด้าน โดยจะมีการประชุมเพื่อพิจารณาในวันที่ 21-23 ธันวาคมนี้ และเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป ซึ่งเชื่อมั่นว่าแผนการปฏิรูปทั้ง 11 ด้านเป็นของดี เพราะเป็นการต่อยอดแผนปฏิรูปจากของเดิมที่ สปช. ทำไว้
ในวันนี้ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย จะส่งไปรษณีย์ด่วนพิเศษ (อีเอ็มเอส) ถึงพล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานกรรมการศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) เกี่ยวกับปัญหาโครงการอุทยานราชภักดิ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธุ์ เพื่อให้นำไปประกอบการตรวจสอบของ ศอตช.
และในวันนี้เช่นกัน ยังมีความคืบหน้า กรณี คณะทำงานฝ่ายกฎหมายจะนำตัว นายฐนกร ศิริไพบูลย์ อายุ 27 ปี ในความผิดฐานหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ส่งให้พนักงานสอบสวน บก.ป.ดำเนินคดีตามที่ศาลอนุมัติออกหมายจับไว้เพื่อนำตัวฝากขังศาลทหารต่อไป โดยเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป.ได้ยื่นขออำนาจศาลทหารกรุงเทพ กรมพระธรรมนูญ เพื่อออกหมายจับคนร่วมขบวนการเพิ่มเติม คือ นายธเนตร อนันตวงษ์ อายุ 25 ปี ในข้อหาเดียวกัน และศาลทหารได้อนุมัติออกหมายจับนายธเนตรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, 116 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์แล้ว ซึ่งเป็นข้อหาเดียวกับนายฐนกร จากนั้นทหารสังกัดกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) ควบคุมตัวนายธเนตรมาฝากขังที่เรือนจำชั่วคราว มทบ.11 เพื่อสอบสวนขยายผล
พ.ต.อ.ภาณุวัฒน์ ร่วมรักษ์ รองผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) กล่าวถึงการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 โดยการกดไลค์และกดแชร์ตามโซเชียลมีเดียว่า หากเป็นข้อมูลที่เป็นความจริงก็ไม่มีความผิด แต่สำหรับความผิดฐานหมิ่นประมาท แม้จะเป็นความจริง แต่หากผู้เสียหายได้รับความเสียหายก็ผิดได้ ดังนั้นหากพบเห็นข้อมูลที่ไม่มีความเหมาะสม ก็ไม่ควรแสดงความเห็นหรือแชร์ข้อมูลให้กระจายออกไปในวงกว้าง เพราะนั่นคือการนำข้อมูลส่งเข้าไปสู่ระบบ ซึ่งเข้าข่ายองค์ประกอบความผิด