ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้ 07.30น.
+++วันนี้ ต้องติดตามต่อ องค์กรบริหารการบินแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา (เอฟเอเอ) ได้ประกาศลดระดับประเทศไทยจากแคทตากอรี 1 เป็นแคทตากอรี 2 หลังจากที่เอฟเอเอได้ ส่งคณะมาเยือนไทยระหว่างวันที่ 26-28 ต.ค. เพราะ เห็นว่าผลการทำงานของกรมการบินพลเรือนไทย เพื่อแก้ไขข้อห่วงกังวลของเอฟเอเอ เกี่ยวกับการยกระดับมาตรฐานการบินพลเรือนไทย ยังไม่เป็นที่พอใจนักพล.อ.อ.ปรีชา ประดับมุข เลขานุการศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหา การบินพลเรือน เปิดเผยว่า รายได้ที่เอกชนไทยจะเสียไปนั้น ถูกกระทบบ้างเพราะสายการบินของไทย ที่ปัจจุบันทำเที่ยวบินร่วมหรือโค้ดแชร์กับสายการบินอื่นที่บินเข้าสหรัฐ จะไม่สามารถใช้เครื่องบินของสายการบินของไทยได้ แต่ผล กระทบนี้ไม่น่าจะมากนัก เพราะขณะนี้ไม่มี สายการบินของไทยที่บินเข้าสหรัฐโดยตรง แต่แน่นอนว่าอาจมีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ไทย
++ด้าน นายจุฬา สุขมานพ อธิบดีกรม ท่าอากาศยาน และผู้อำนวยการสำนักงาน การบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) เปิดเผยว่า สาเหตุ ที่ไทยถูกปรับระดับ เนื่องจากยังไม่สามารแก้ไขข้อบกพร่องทางการบินที่ไทยถูกไอซีเอโอปักธงแดง โดยเฉพาะขั้นตอนการตรวจสอบ ออกใบอนุญาตสายการบินใหม่ทั้งหมดใน 28 สายการบิน ที่จะบินไปต่างประเทศ ดังนั้นเมื่อขั้นตอนยังไม่เสร็จสิ้น การตรวจสอบของ เอฟเอเอจึงต้องปรับลดมาตรฐานลงมาเพราะเป็นเกณฑ์มาตรฐานที่เอฟเอเอใช้กับทุกประเทศ สิ่งที่ทำได้จากนี้คือการเร่งดำเนินการเพื่อนำไปสู่การปลดล็อกธงแดงจากไอซีเอโอ ซึ่งจะมีผลทำให้เอฟเอเอ ปลดล็อกเราไปด้วย
+++นายธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์ ประธาน เจ้าหน้าที่บริหารสายการบินไทยแอร์เอเชีย เปิดเผยว่า เป็นห่วงว่าจะกระทบต่อการท่องเที่ยวไทย ซึ่งถือเป็นรายได้หลักของประเทศในปี 59 และปีถัดไป รวมทั้งอยากฝากไปถึง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ให้เข้ามาแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง เรียกประชุมร่วมกับผู้ประกอบการสายการบินเพื่อรับทราบถึงปัญหาและผลกระทบที่แท้จริงโดยเฉพาะการปลดล็อกธงแดงจากไอซีเอโอ รวมถึงการว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศเข้ามาช่วย การแก้ไขปัญหายังขาดผู้มีอำนาจในการตัดสินใจเด็ดขาด แม้จะมีการแต่งตั้ง ศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการบินพลเรือน (ศบปพ.) แต่ไม่ได้มีอำนาจเต็มอย่างแท้จริงเพราะอำนาจความรับผิดชอบโดยตรงอยู่ที่กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานด้านการบิน ดังนั้นการดำเนินการสั่งการต่าง ๆ จึงไม่ได้ดำเนินการอย่างเต็มที่
+++พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลกำลังตรวจสอบอยู่และขอให้รอคณะกรรมการในการดำเนินการเรื่องนี้ และขออย่านำเรื่องดังกล่าวไปขยายความให้เกิดความขัดแย้ง และเบื้องต้นได้สั่งการไปเมื่อ 2 วันก่อนที่ได้รับทราบเรื่อง ยอมรับว่า เรื่องนี้กระทบต่อความเชื่อมั่นของรัฐบาล ดังนั้นทุกคนจะต้องช่วยกันทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบ อย่าพึ่งทะเลาะกัน เพราะความขัดแย้งไม่สามารถทำให้หลุดพ้นจากวิกฤต แต่
+++ส่วนกระแสกดดันให้พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม อดีตผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะประธานมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ ลาออกนั้นพล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ขอให้เรื่องนี้เป็นไปตามขั้นตอน ซึ่งพล.อ.อุดมเดชคิดเองเป็น ต่างกับบางคนที่คิดไม่เป็น กฏหมายยังไม่นับ ดังนั้นขอให้รอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบให้ชัดเจนก่อน เพราะทุกอย่างมีขั้นตอนขออย่าพึ่งนำไปเปรียบเทียบกับอีกคดี เพราะมีขั้นตอนเช่นกันไม่ใช่ดำเนินคดีเอาผิดทันที ส่วนจะรอให้ผลการตรวจสอบจะออกมาก่อนแล้วค่อยลาออกหรือไม่นั้น แล้วแต่ส่วนตัวของพล.อ.อุดมเดชจะพิจารณาตัวเอง แต่ยืนยันว่าหากพล.อ.อุดมเดชลาออกก็จะไม่กระทบกับ คสช. เพราะ คสช. มีถึง 4 เหล่าทัพ
+++ด้าน พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม ในฐานะประธานมูลนิธิราชภักดิ์ กล่าวว่า การดำเนินงานทุกอย่างมีข้อมูลอยู่ในกองทัพบกอยู่แล้ว มีคณะกรรมการคอยดูแลทุกขั้นตอน ทุกคนตั้งใจทำงาน เชื่อมั่นในสิ่งที่ทำและจุดประสงค์ที่ตั้งโครงการนี้ขึ้นมา เพื่อให้คนไทยทุกคนหรือหรือแม้แต่คนต่างประเทศมีสิ่งยึดเหนี่ยวและเป็นสมบัติของชาติ ให้รำลึกสิ่งที่มีพระคุณต่อชาติอย่างใหญ่หลวง ไม่หนักใจ ที่ถูกกระแสกดดันให้ลาออก เพราะมั่นใจว่าเราคิดดีทำดี ขณะนี้อาจจะมีบางคนบางกลุ่มนั่งยิ้มอยู่ก็ได้ว่าสิ่งที่เขาได้พยายามกระทำนั้นเหมือนกับยิงนกได้หลายตัว ก็ไปคิดดูแล้วกันว่าเราจะปล่อยให้สิ่งต่างๆ คนที่ตั้งใจจะทำสีขาวเป็นสีขาว กับคนที่ตั้งใจให้สีขาวเป็นสีดำ ซึ่งถ้าเขาทำสำเร็จผมคิดว่าประเทศชาติก็อันตราย
+++ส่วนกรณี ทหารควบคุมตัวนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช. ระหว่างเตรียมเดินทางไปตรวจสอบอุทยานราชภักดิ์ จ.ประจวบคีรีขันธ์ นำตัวไปทำบันทึกข้อตกลงและหารือที่กองพลทหารราบที่ 9 จ.กาญจนบุรี ก่อนปล่อยทั้ง 2 คน และขับรถมาส่งถึงบ้านพักเวลา 19.30 น. วันที่ 30 พ.ย. เมื่อวานนี้ นายจตุพรได้ยังออกมาระบุว่า คณะกรรมการตรวจสอบระดับรองปลัดกระทรวงกลาโหม จะกล้าตรวจสอบกระแสข่าวทุจริตอุทยานราชภักดิ์หรือไม่ ไม่มีประเทศใดตั้งผู้ใต้บังคับบัญชาสอบผู้บังคับบัญชา เรื่องนี้ผิดหลักการสอบสวน เป็นการแก้ปัญหาทางการเมือง
+++เช่นเดียวกับนายณัฐวุฒิ ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว "นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ" กล่าวถึงกรณีถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวพร้อมกับนายจตุพร ระหว่างเดินทางไปตรวจสอบอุทยานราชภักดิ์ โดยระบุว่า เมื่อการเดินทางไปอุทยานราชภักดิ์เป็นเรื่องที่ฝ่ายความมั่นคงยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้ เราก็ยุติเรื่องนี้ เพราะไม่มีเจตนาจะใช้ประเด็นดังกล่าวเป็นเงื่อนไขทางการเมืองเผชิญหน้ากับรัฐบาลแต่อย่างใด ส่วนการติดตามผลการตรวจสอบจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงเดินหน้าต่อไป
+++ มีรายงานข่าวจาก คสช. ได้แจกแจงรายละเอียดการเชิญตัวนายจตุพรและนายณัฐวุฒิ โดยระบุว่า ทั้งสองคนได้กระทำผิดเงื่อนไขของ คสช. ในเรื่องการออกมาเคลื่อนไหวโฆษณาเชิญชวนให้ประชาชน ร่วมเดินทางไปอุทยานราชภักดิ์ โดยมีเจตนาแอบแฝง หากเป็นการเดินทางไปท่องเที่ยวอย่างประชาชนทั่วไปปัญหาดังกล่าวก็จะไม่เกิดขึ้น
+++รายงานระบุว่า ทหารจากมณฑลทหารบกที่ 16 เป็นผู้ดำเนินการเข้าควบคุม จากนั้นได้นำตัวไปที่กองพลทหารราบที่ 9 ค่ายสุรสีห์ จ.กาญจนบุรี และได้นำอาหารมาให้ทั้งสองคนรับประทาน และมีเจ้าหน้าที่เข้าไปร่วมพูดคุยเพื่อทำความเข้าใจเป็นรายบุคคล ซึ่งจากการพูดคุย นายจตุพรและนายณัฐวุฒิก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี โดยใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ทั้งสองคนยอมรับกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ทางเจ้าหน้าที่ยังให้โอกาสไม่ดำเนินคดีกับบุคคลทั้งสอง เพราะอาจมีความผิดเงื่อนไขการประกันตัวในส่วนของการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ศาลอาญาและที่ทาง คสช.ได้สั่งห้ามไม่ให้เคลื่อนไหวทางการเมือง แต่ทั้งสองคนยังเคลื่อนไหวแบบมีนัย เพราะกรณีการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์มีผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบอยู่
+++รายงานระบุด้วยว่า หลังจากทำความเข้าใจกันเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่ได้นำเอกสารเงื่อนไขแนบท้ายประกาศ คสช. เพื่อปล่อยตัวทั้งสองคนกลับบ้าน โดยในเอกสารมีใจความว่า“ข้าพเจ้าได้รับอนุญาตจากทางราชการให้กลับภูมิลำเนา เพื่อดำเนินชีวิตตามปกติแล้ว และในระหว่างที่ถูกกักตัวในหน่วย ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ไม่ได้ถูกทำร้ายหรือถูกใช้กำลังบังคับ ขู่เข็ญ หลอกลวง ทรมาน ให้คำสัญญาหรือกระทำโดยมิชอบด้วยประการใดๆ และทรัพย์สินต่างๆที่ได้นำติดตัวมาระหว่างถูกกักตัวได้รับคืนครบถ้วนทั้งหมดแล้ว ข้าพเจ้ารับทราบและเข้าใจคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 ลงวันที่ 1 เม.ย.58 เรื่องการกำหนดเงื่อนไขข้อ 11 จึงกำหนดวิธีการเพื่อความปลอดภัยตามมาตรา 39 (2 ) ถึง (5) แห่งประมวลกฎหมายอาญา จึงขอปฏิบัติตามเงื่อนไขดังนี้ ข้าพเจ้าจะละเว้นการเคลื่อนไหวหรือชุมนุมทางการเมือง ณ ที่ใดๆ และจะไม่สร้างความขัดแย้งหรือทำให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยขึ้นในสังคม รวมทั้งแสดงความเห็นไปในทางต่อต้านการปฏิบัติงานของรัฐบาลและ คสช. หากข้าพเจ้าฝ่าฝืนเงื่อนไขดังกล่าวหรือดำเนินการช่วยเหลือสนับสนุนกิจกรรมทางการเมืองและข้อกำหนดในเงื่อนไข ข้าพเจ้ายินยอมที่จะถูกดำเนินคดีทันที และยินยอมถูกระงับธุรกรรมทางการเงิน
+++ พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เป็นประธานแทนพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่า ในที่ประชุม พล.อ.ประวิตรได้เล่าให้ที่ประชุมทราบว่าในปัจจุบันได้มีความพยายามของแกนนำและกลุ่มการเมืองที่จะปลุกปั่น ยุยง สร้างกระแสให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยขึ้น โดยมีแกนนำของกลุ่มการเมืองบางท่านได้แสดงความประสงค์ขอลงพื้นที่อุทยานราชภักดิ์
+++อีกประการหนึ่ง ถ้าติดตามจะพบว่าการลงพื้นที่ของแกนนำไม่ได้ลงไปเพียงลำพัง คงมีผู้ติดตามไปด้วย ถ้าติดตามข่าวให้ดีจะพบว่าในพื้นที่ จ.ราชบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์นั้น มีประชาชนอีกส่วนหนึ่งเกิดความรู้สึกขัดแย้งกับมุมมองและแนวความคิดของสองแกนนำ ก็คาดหมายว่าคงจะมีการจัดเตรียมและอาจเกิดการเผชิญหน้ากันขึ้นในพื้นที่อุทยานราชภักดิ์ จะเป็นใครก็สุดแล้วแต่ แต่ถือเป็นพี่น้องประชาชนทั้งสิ้น ฉะนั้นหน่วยงานด้านความมั่นคงไม่สามารถปล่อยให้เหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นได้
+++นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แถลงผลการประชุม ป.ป.ช.กรณีการตรวจสอบโครงการอุทยานราชภักดิ์ว่า ยังไม่พบข้อมูลที่ชัดเจนว่าเข้าข่ายการทุจริต แต่ได้ข้อมูลจากผู้เสียหายที่มาร้องทุกข์กล่าวโทษกรณีนี้ที่กองบังคับการปราบปราบ ขณะเดียวกันสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) พบการก่อสร้างดังกล่าวมีการใช้งบแผ่นดินจำนวน 63.57 ล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างตรวจสอบว่าใช้งบประมาณถูกต้องหรือไม่ รวมถึงงบบริจาคของมูลนิธิราชภักดิ์และกองทัพบก โดยทางกระทรวงกลาโหมได้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงแล้ว