+++ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ออกคำสั่งให้นำระบบขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานแบบล้ำยุค เอส-400 ไปติดตั้งที่ฐานทัพอากาศฮีไมมีม ในจังหวัดลาตาเคียริมชายฝั่งทะเลของซีเรีย ซึ่งอยู่ห่างชายแดนทางใต้ของตุรกีประมาณ 50 กิโลเมตร หลังจากเครื่องบินรบแบบ ซู-24 ของกองทัพอากาศรัสเซียลำหนึ่ง ถูกตุรกียิงตกเมื่อวันอังคาร และนักบินถูกสังหาร 1 คน ส่วนอีกคนหน่วยคอมมานโดกองทัพรัฐบาลซีเรีย บุกช่วยเหลือรอดชีวิต
+++ด้านพล.อ.เซอร์เก ชอยกู รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมรัสเซีย กล่าวว่า เรือลาดตระเวนติดขีปนาวุธนำวิถี มอสควา ของกองทัพเรือรัสเซีย ได้เคลื่อนเข้าไปใกล้ชายฝั่งมากขึ้น เพื่อคุ้มครองอากาศยานรัสเซีย ที่ออกปฏิบัติการบินใกล้เขตแดนซีเรียกับตุรกี ด้วยระบบป้องกันทางอากาศระยะไกล ฟอร์ต เรือมอสควาพร้อมที่จะทำลายเป้าหมายทางอากาศทุกชนิด ที่เป็นภัยคุกคามต่ออากาศยานของรัสเซีย พล.อ.ชอยกู กล่าวว่า นับจากนี้ไปเครื่องบินทิ้งระเบิดของรัสเซียทุกลำ จะได้รับการคุ้มกันจากเครื่องบินรบ ทุกครั้งที่ออกปฏิบัติภารกิจในดินแดนซีเรีย และว่า กระทรวงกลาโหมรัสเซียได้ตัดขาดการติดต่อทั้งหมดกับกองทัพตุรกีแล้ว
+++คาดว่าจะทำให้เกิดการเผชิญหน้าทางทหาร ระหว่างตุรกีซึ่งเป็นชาติสมาชิกขององค์การนาโต กับรัสเซีย ระบบขีปนาวุธต่อต้านอากาศยาน แบบพื้นสู่อากาศ เอส-400 มีพิสัยยิงไกลถึง 400 กิโลเมตร สมรรถนะเยี่ยมยอด สามารถจับเป้าเครื่องบินรบของตุรกีได้อย่างแม่นยำ
+++ประธานาธิบดีปูติน กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย ออกประกาศเตือนชาวรัสเซีย ให้หลีกเลี่ยงการเดินทางเยือนตุรกี เนื่องจากรัฐบาลไม่สามารถตัดประเด็น ที่อาจเกิดเหตุการณ์อื่นๆ ขึ้น หลังเกิดเหตุการณ์เมื่อวันอังคาร
+++นายเจนส์ สโตลเทนเบิร์ก เลขาธิการนาโต แถลงว่า นาโตจะยืนเคียงข้างตุรกี แต่ขอใช้สติในการแก้ไขปัญหา การทูตและการลดความตึงเครียดเป็นเรื่องสำคัญในการคลี่คลายปัญหา
+++นายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคิลของเยอรมนี กล่าวว่า เหตุตุรกียิงเครื่องบินรบรัสเซียตก ยิ่งทำให้การหาทางออกทางการเมืองในซีเรียยุ่งยากยิ่งขึ้น และจำเป็นต้องทำทุกทางเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งกันมากขึ้น ทุกฝ่ายจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้เหตุขัดแย้งปะทุขึ้น แม้แต่ละประเทศมีสิทธิที่จะปกป้องอธิปไตยของตัวเอง แต่ขณะเดียวกันก็ต้องคำนึงถึงสถานการณ์ความตึงเครียดในซีเรียและส่วนที่เกี่ยวข้อง นางแมร์เคิลกล่าวว่า ได้หารือกับนายกรัฐมนตรีตุรกี และขอร้องให้ตุรกีทำทุกทางเพื่อบรรเทาสถานการณ์ที่กำลังตึงเครียด
+++สถานการณ์ในตูนีเซีย ประธานาธิบดีตูนิเซีย เบจี คาอิด เอสเซบซีและสมาชิกคนอื่นๆของสภาความมั่นคงแห่งชาติ ประชุมด่วนเพื่อพิจารณามาตรการฉุกเฉินเพิ่มเติม หลังจากได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วประเทศตามหลังเหตุระเบิด ประธานาธิบดี ระบุว่า สภาความมั่นคงแห่งชาติที่นำโดยประธานาธิบดี เบจี คาอิด เอสเซบซี ตัดสินใจปิดชายแดนติดกับลิเบียเป็นเวลา 15 วัน นับตั้งแต่เที่ยงคืนเป็นต้นไป โดยจะเพิ่มการตรวจตราตามชายแดนทางทะเลและตามสนามบินต่างๆ ขณะที่เจ้าหน้าที่ระบุว่ามีชาวตูนิเซียหลายพันคนเดินทางไปยังลิเบีย อิรักและซีเรีย เพื่อร่วมสู้รบกลุ่มพวกอิสลามิคหัวรุนแรง
+++ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้น หลังจากพวกรัฐอิสลาม(ไอเอส) อ้างความรับผิดชอบเหตุโจมตี โดยระบุว่าชายชาวตูนิเซียคนหนึ่ง ทราบชื่อว่า นายอาบู อับดอลเลาะห์ อัล-ตูนิสซี สวมเข็มขัดระเบิดขึ้นไปบนรถบัสที่กำลังรับหน่วยอารักขาประธานาธิบดีไปทำงาน ห่างจากกระทรวงมหาดไทยไปไม่กี่กิโลเมตร กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่ามีผู้เสียชีวิต 12 ศพ และบาดเจ็บ 20 คน
+++ก่อนหน้านี้ ตูนีเซีย เกิดเหตุกลุ่มมือปืนไอเอสก่อเหตุสังหารหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติ 38 ศพในเมืองซูสส์ ดินแดนตากอากาศริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และเมื่อเดือนมีนาคม ก็เพิ่งเกิดเหตุนักรบญิฮัดโจมตีพิพิธภัณฑ์แห่งชาติบาร์โดในเมืองหลวง นักท่องเที่ยวเสียชีวิต 21 ศพและตำรวจ 1 นาย
+++สถานการณ์ในฝรั่งเศส ประธานาธิบดีฟรองซัวส์ออลลองด์ แห่งฝรั่งเศส มีกำหนดเดินทางไปเยือนกรุงมอสโกประเทศรัสเซียในวันนี้ นายจาวัด เบนดาอูด วัย 29 ปี เป็นผู้ต้องสงสัยคนแรกที่ถูกทางการฝรั่งเศส ตั้งข้อหาสนับสนุนและเกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย โดยนายจาวัดให้ที่พักแกนนำที่ก่อเหตุโจมตีกรุงปารีสเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ขณะนี้นายจาวัด ถูกควบคุมตัวไว้แล้ว และกำลังร้องขอให้ตำรวจปล่อยตัว ก่อนหน้านี้ นายจาวัดรับสารภาพว่าให้ที่พักแก่ชาย 2 คน ที่บ้านพักของเขาในย่านแซงท์ เดอนี โดยไม่ทราบว่าเป็นใครและวางแผนจะทำอะไร
+++ส่วนที่เบลเยียม โรงเรียนและระบบรถไฟใต้ดินบางส่วนในกรุงบรัสเซลส์ เปิดทำการตามปกติอีกครั้ง โดยเฉพาะโรงเรียนต่างๆ รัฐบาลได้จัดกำลังทหาร 300 คนดูแลความปลอดภัย ส่วนระบบรถไฟใต้ดินมีการจัดกำลังทหารดูแลความปลอดภัยราว 200 คน ขณะเดียวกันประชาชนในเมืองหลวงเริ่มกลับมาใช้ชีวิตตามปกติในวันนี้ 4 วันหลังปิดถนนตรวจค้นย่านชุมชน แต่ทหารยังคงประจำการอยู่ตามถนนต่างๆ สะท้อนว่า เบลเยียมยังคงเพิ่มการเฝ้าระวังภัยก่อการร้ายขั้นสูงสุด
+++ขณะเดียวกัน ตำรวจเบลเยียมยังคงติดตามไล่ล่านายซาลาห์ อับเดลสลาม วัย 26 ปี ผู้ต้องหาสำคัญและเป็นรายที่ 8 ที่ก่อเหตุโจมตีกรุงปารีส ฝรั่งเศส
+++จากการสอบสวนเหตุสหรัฐฯโจมตีทางอากาศถล่มโรงพยาบาลสนามขององค์กรแพทย์ไร้พรมแดน( MSF)ในเมืองคุนดุซ อัฟกานิสถาน เมื่อวันที่ 3 ต.ค. ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 30 ศพ พบว่ามีต้นเหตุจากความผิดพลาดและไม่ได้จงใจ ผู้บัญชาการกองทัพอเมริกา แถลงพร้อมให้สัญญาจะดำเนินการทางวินัยต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง พล.อ.จอห์น แคมป์เบลล์ เปิดเผยว่า คนที่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ถูกสั่งพักงานแล้วทั้งหมด และจะให้ความเป็นธรรม
+++บีบีซี รายงานว่า นายคริสโตเฟอร์ สโตกส์ ผู้อำนวยการองค์กรแพทย์ ไร้พรมแดน เปิดเผยรายงานกรณีกองทัพอากาศสหรัฐฯทิ้งระเบิดใส่โรงพยาบาลขององค์กรแพทย์ไร้พรมแดนขณะปฏิบัติภารกิจปราบปรามตอลิบันในเมืองคุนดุซ ว่า ความผิดพลาดที่กองทัพสหรัฐฯอ้าง ยากจะเข้าใจได้ หลังจากพบว่ากองทัพสหรัฐฯยิงเจ้าหน้าที่แพทย์ซึ่งไม่มีอาวุธ และกำลังวิ่งหนีออกจากโรงพยาบาล
+++ทางการอินโดนีเซีย เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยทั่วประเทศ โดยเฉพาะในเมืองหลวงกรุงจาการ์ตา หลังมีคลิปวิดีโอปรากฎในสื่อสังคมออนไลน์ ขู่โจมตีตำรวจและเป้าหมายสำคัญอื่นๆ พล.ต.ต.ติโต คาร์นาเวียน ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจกรุงจาการ์ตา กล่าวว่า เจ้าหน้าที่เพิ่มการเฝ้าระวังรักษาความปลอดภัยตามสถานที่สำคัญต่างๆ เช่น ท่าอากาศยาน ทำเนียบประธานาธิบดี สถานทูตต่างชาติ และห้างสรรพสินค้า ขณะเดียวกันก็ได้ประกาศให้ประชาชนช่วยเป็นหูเป็นตา แจ้งเบาะแสพฤติกรรมผิดสังเกต ในย่านชุมชนที่อยู่อาศัย แก่เจ้าหน้าที่
+++คลิปวิดีโอขนาดความยาว 9 นาที อ้างว่ามาจากกลุ่ม มูจาฮีดีนอินโดนีเซียตะวันออก ที่นำโดย นายอาบู วาร์ดะห์ ซานโตโซ ผู้ก่อการร้ายที่ทางการต้องการตัวมากที่สุดของประเทศ ซึ่งเกี่ยวพันกับการสังหารตำรวจหลายนาย และประกาศความจงรักภักดีต่อกลุ่มไอเอสในซีเรียและอิรัก
+++โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ป บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของโลกแห่งญี่ปุ่น ประกาศเรียกคืนรถยนต์ 1.6 ล้านคน จากลูกค้าในญี่ปุ่นและยุโรป เพื่อซ่อมแซมความบกพร่องในถุงลมนิรภัย ที่ผลิตและจัดส่งโดยบริษัททาคาตะ คอร์ป ของญี่ปุ่น น.ส.กาโยะ โดอิ โฆษกหญิงของโตโยต้า มอเตอร์ คอร์ป กล่าวว่า โตโยต้าประกาศเรียกคืนรถยนต์ทั่วโลกเกือบ 15 ล้านคันแล้ว จากปัญหาถุงลมนิรภัยของบริษัททาคาตะ โดยในจำนวนดังกล่าวเป็นการเรียกคืนในสหรัฐฯและญี่ปุ่น ประเทศละเกือบ 3 ล้านคัน
+++คณะกรรมการด้านความปลอดภัยยานยนต์ของสหรัฐฯ สั่งปรับบริษัททาคาตะ 70 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ฐานปกปิดหลักฐานนานหลายปี เกี่ยวกับแนวโน้มในการระเบิดของถุงลมนิรภัยของบริษัท และภายใต้ข้อตกลงระยะเวลา 5 ปี สำนักงานความปลอดภัยด้านการจราจรบนทางหลวงแห่งชาติสหรัฐ (ยูเอสเอ็นเอชทีเอสเอ) สามารถเพิ่มเงินค่าปรับขึ้นสูงเป็นสถิติได้ถึง 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หากบริษัททาคาตะไม่ยึดมั่นในเงื่อนไข หลายบริษัทผู้ผลิตยานยนต์ยักษ์ใหญ่ของโลก เช่น โตโยต้า ฟอร์ด มอเตอร์ ของสหรัฐ ฮอนด้า มอเตอร์ และนิสสัน มอเตอร์ ของญี่ปุ่น ตัดสินใจไม่ใช้ถุงลมนิรภัยของทาคาตะ ในรถยนต์รุ่นใหม่ที่กำลังพัฒนา