ผู้ว่าการมลรัฐในสหรัฐอเมริกา 17 แห่งทยอยประกาศไม่รับผู้ลี้ภัยเข้ามาตั้งรกรากในรัฐของตนเอง โดยอ้างถึงสถานการณ์ความปลอดภัย แต่ขัดต่อนโยบายของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐที่ประกาศจะรับผู้อพยพลี้ภัยชาวซีเรียจำนวน 10,000 คนในอีก 12 เดือนข้างหน้านี้ ทั้งนี้ หลังจากเหตุก่อการร้ายที่กรุงปารีส บรรดาผู้ว่าการรัฐเหล่านี้ก็มีความกังวลว่า ผู้ลี้ภัยที่รับมาจะก่อเหตุรุนแรงในลักษณะเดียวกัน และต้องการให้ประธานาธิบดีทบทวนนโยบาย
อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดียังคงโน้มน้าวให้สหรัฐอเมริกามีส่วนร่วมในการให้ความช่วยเหลือผู้ที่ต้องหลบหนีภัยสงคราม และการปิดประตูไม่ต้อนรับจะยิ่งเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์ ซึ่งเขาเชื่อว่า สหรัฐอเมริกาสามารถดูแลผู้ลี้ภัยและรักษาความมั่นคงภายในประเทศได้ด้วยตนเอง ขณะที่ฝ่ายกฎหมายของกระทรวงการต่างประเทศ กำลังศึกษาว่า ผู้ว่าการรัฐสามารถออกคำสั่งที่ขัดนโยบายประธานาธิบดีในกรณีนี้ได้หรือไม่
ทั้งนี้จากเหตุก่อการร้ายที่เกิดขึ้นที่กรุงปารีส เมื่อคืนวันศุกร์ตามเวลาท้องถิ่น ทำให้มีผู้เสียชีวิต 129 คน ส่วนคนร้ายเสียชีวิต 7 คน 1 ในนี้เป็นชาวซีเรียที่เดินทางเข้าสู่ยุโรปด้วยหนังสือรับรองเป็นผู้ลี้ภัยที่กรีซเป็นผู้ออกให้ และยังมีชาวซีเรียอีกนับล้านคนที่หลบหนีออกจากประเทศไปอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านและยุโรป
สำหรับ 17 มลรัฐที่ประกาศไม่รับผู้ลี้ภัยคือ แอละบามา แอริโซนา อาร์คันซอ ฟลอริด้า จอร์เจีย อิลลินอยส์ อินดีแอน่า ไอโอวา ลุยเซียน่า แมตซาชูเซตส์ มิชิแกน มิสซิสซิปปี้ นิวแฮมเชียร์ นอร์ทแคโรไลน่า โอไฮโอ เท็กซัส และ วิสคอนซิน โดยที่มิชิแกนนั้น เมื่อปีที่แล้วเพิ่งรับผู้ลี้ภัยชาวซีเรียมาตั้งรกราก 200 คน และทางรัฐแจ้งว่าจะยังไม่รับเพิ่มจนกว่าจะมีการทบทนนโยบาย
..