เมืองไทยฯ(1):นายกฯเตรียมร่วมประชุมเอเปค/กรธ.แจงที่มานายกฯ*

ในวันนี้มีการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งปลัดกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นำคณะผู้บริหารและเครือข่ายเข้าติดเข็มกลัดริบบิ้นสีขาวให้แก่นายกรัฐมนตรี เพื่อแสดงเจตจำนงในการร่วมรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี ภายใต้แนวคิด “อาเซียนร่วมใจ...ไร้ความรุนแรง” (Stop Violence…Asians Together) ส่วนเจ้ากรมแพทย์ทหารบก นำคณะนักเรียนแพทย์ทหาร นักเรียนพยาบาล และศิลปินดาราเข้าพบนายกรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์การจัดงาน “วันสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า” และเชิญชวนร่วมบริจาคสมทบทุนมูลนิธิโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า

จากนั้นในช่วงบ่ายนายกรัฐมนตรีและภริยา พร้อมคณะ จะออกเดินทางจากท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ ไปท่าอากาศยานนานาชาตินินอย อาคีโน กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ เพื่อเข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 23 ณ กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์

นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งอยู่ระหว่างเดินทางไปร่วมประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ 27 ที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ก่อนการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 23 ที่ นายกรัฐมนตรี พร้อมผู้นำจาก 20 เขตเศรษฐกิจจะร่วมการประชุม โดยนายดอนหารือทวิภาคีกับนาย ฟุมิโอะ คิชิดะ รัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีการย้ำความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศในฐานะหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ และในสัปดาห์หน้า นายกรัฐมนตรีของทั้ง 2 ประเทศ จะพบหารือในระหว่างการประชุมอาเซียนซัมมิต ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย

นอกจากนี้ นายฟุมิโอะกล่าวแสดงความเสียใจต่อเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นที่บริเวณแยกราชประสงค์ พร้อมขอบคุณทางการไทยที่ให้ความช่วยเหลือและดูแลนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นที่ประสบเหตุเป็นอย่างดี และยินดีให้ความร่วมมือกับประชาคมระหว่างประเทศรวมทั้งไทยเพื่อจัดการกับภัยคุกคามที่กำลังเกิดขึ้น

โดยในการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) เมื่อวานนี้ นายกรัฐมนตรี ลงนามอนุมัติส่งเสริมการลงทุนแก่กิจการในกลุ่มต่าง ๆ จำนวน 15 โครงการเงินลงทุนรวม 37,516 ล้านบาท กับให้ปรับปรุงเงื่อนไขส่งเสริมการลงทุนเพื่อขยายการลงทุนให้มากขึ้น ทั้งสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลหากมีการลงทุนเพิ่มเติม

และในวันนี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง

ส่วนกรณีพรรคการเมืองแสดงความเห็นคัดค้านที่มาของผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ชี้แจงว่า เป็นความเข้าใจผิดว่า กรธ.กำลังหาช่องทางให้คนนอกเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยเจตนาที่แท้จริงคือต้องการให้พรรคการเมืองประกาศล่วงหน้า ว่าจะให้ใครเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งพรรคการเมืองเป็นกลไกหนึ่งในระบอบประชาธิปไตย และจะต้องกำหนดกฎเกณฑ์ของตัวเอง พรรคจะเลือกใครมาก็เป็นเรื่องที่พรรคต้องคำนึงถึงความเหมาะสม โดยคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรีจะต้องไม่ด้อยกว่าคุณสมบัติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและรัฐมนตรี มีแนวโน้มว่า จะเข้มข้นมากขึ้น

ด้านการตรวจสอบโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ของกองทัพบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เปิดเผยว่า สิ่งหนึ่งที่เสมอภาคเท่ากัน คือความเท่าเทียมทางกฎหมาย ไม่เว้นแม้แต่รัฐมนตรี แม้แต่โครงการของกองทัพบกก็ต้องตรวจสอบ หากพบว่ามีการกระทำความผิดก็ต้องลงโทษ โดยโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์กำลังมีการตรวจสอบอยู่ แม้ว่าไม่เกี่ยวกับ คสช. แต่นายกรัฐมนตรีก็รับผิดชอบอยู่แล้ว

ซึ่ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเปิดเผยว่า พล.อ.ธีรชัย นาควานิช  ผู้บัญชการทหารบก (ผบ.ทบ.) สั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบความไม่โปร่งใสแล้ว และขอให้รอผลการสอบสวน นอกจากนี้การจัดสร้างไม่ได้ใช้งบประมาณของรัฐบาล แต่เป็นงบประมาณจากการบริจาค ต้องชี้แจงให้ผู้ที่บริจาคเงินเข้าใจว่านำเงินไปทำอะไรบ้าง และยอมรับว่า มีความพยายามพุ่งเป้าโจมตีมาที่ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมซึ่ง ขณะนั้นเป็น ผบ.ทบ.

นายวิชา มหาคุณ  คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)  เปิดเผยว่า เนื่องจากงบประมาณโครงการไม่ใช่งบประมาณแผ่นดิน จึงรอการตรวจสอบของฝ่ายกองทัพบกเช่นกัน จากนั้นจะต้องมีการพิจารณาว่า ป.ป.ช.มีอำนาจหรือไม่ ทั้งต้องดูตำแหน่งของผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ว่าอยู่ในข่ายที่ป.ป.ช.ตรวจสอบได้หรือไม่ สูงกว่าระดับซี 8 หรือไม่ เพราะหากผู้เกี่ยวข้อง มีตำแหน่งต่ำกว่าซี 8 ป.ป.ช.ไม่มีอำนาจ ตรวจสอบ โดยการประชุม ป.ป.ช.ในวันนี้ จะมีกาหารือประเด็นนี้ในเบื้องต้น

ส่วนกรณีที่รัฐบาลออกคำสั่งปกครองตามพ.ร.บ. ความรับผิดละเมิดเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อเรียกค่าเสียหายโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ดำเนินโครงการนี้ตอบโต้ว่ารัฐบาลไม่ให้ความเป็นธรรม เพราะไม่ใช้สิทธิ์ทางศาลแต่ใช้คำสั่งทางปกครองแทน ซึ่งนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐนตรี ชี้แจงว่าเป็นขั้นตอนการทำงานของรัฐบาลตามปกติ

มิเช่นนั้นฝ่ายรัฐบาลจะเป็นฝ่ายที่ถูกดำเนินการเอาผิดเอง ทั้งทางอาญา และความรับผิดชอบทางแพ่ง นอกจากนี้ วิธีออกคำสั่งปกครองยังใช้มาแล้ว 20 ปี กว่า 5,000 คดี และมีทั้งรัฐเป็นผู้แพ้และชนะ หรือศาลอาจจะลดจำนวนของค่าเสียหายที่ต้องชดใช้ โดยคำสั่งปกครอง ทั้งของกระทรวงการคลัง และกระทรวงพาณิชย์ สามารถออกได้พร้อมกัน แม้ขณะนี้การดำเนินการ ของกระทรวงพาณิชย์จะเข้าสู่กระบวนการที่ 2 คือ ส่งให้คณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางแพ่ง ส่วนกระทรวงการคลังยังอยู่ในขั้นตอนแรกของการตรวจสอบ ที่ต้องขยายเวลาออกไปอีก 30 วัน เนื่องจากผู้ถูกกล่าวหาขอให้สอบพยานเพิ่มเติม และระยะเวลาในการพิจารณา น่าจะใช้เวลานานกว่าการฟ้องศาลฎีกา แผนกคดีอาญาผู้ดำเนินตำแหน่งการเมือง

คดีนี้จำกัดเฉพาะคดีโครงการรับจำข้าวเปลือก ก่อนวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ซึ่งเป็นคดีที่ ป.ป.ช.ส่งเรื่องมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2558 และจะครบกำหนด 2 ปี ในเดือนกึมภาพันธ์ 2560 แบ่งผู้ถูกกล่าวหาเป็น 4 กลุ่มคือกลุ่มที่ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ถูกสภาถอดถอน ถูกฟ้องคดีอาญา , กลุ่มที่ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดทุจริตการขายข้าว อ้างว่าเป็นแบบรัฐต่อรัฐ , กลุ่มที่มีการกระทำคล้ายกับกลุ่มที่ 2 แต่ ป.ป.ช.แยกมา ก็ต้องถูกดำเนินการ และกลุ่มที่ 4 เป็นเอกชน ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งมีอยู่ 15 ราย

*-*