วันนี้ ศาลนัดอ่านคำพิพากษาฎีกา คดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 2 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายประมวล หุตะสิงห์ อดีตรองผู้จัดการใหญ่ บริษัทท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่ จำกัด (บทม.) และคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาจ้างเหมา และนายปรีติ เหตระกูล อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ บทม. เป็นจำเลยที่ 1 - 2 ในความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใดๆ ร่วมกันใช้อำนาจในหน้าที่โดยทุจริตอันเป็นการเสียหายแก่องค์การหรือบริษัทจำกัด , เป็นพนักงานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502มาตรา 8 และ 11
คดีนี้อัยการโจทก์ ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 10 พ.ย.2552 หลัง ป.ป.ช.สรุปสำนวนชี้มูลความผิด ซึ่งคำฟ้องบรรยายพฤติการณ์สรุปว่า จำเลยทั้งสอง ร่วมกันแก้ไขราคากลางให้สูงขึ้นกว่า ราคาจ้างเหมา ด้วยการพิมพ์เอกสารขึ้นใหม่แล้วนำไปสับเปลี่ยนแทนฉบับเดิม โดยที่กรรมการอีก 6 คนไม่ได้รู้เห็นหรือเห็นชอบแต่ประการใด โดยมีการแก้ไขข้อความในบันทึกบางแผ่น โดยเฉพาะตัวเลขราคากลาง ซึ่งบริษัทที่ปรึกษาตั้งไว้จาก 10,860,743,889.38 บาท เป็น 12,200,000,000 บาท และแก้ไขข้อความอื่นให้สอดคล้องกับราคากลางที่แก้ไขใหม่ จากนั้น จำเลยที่ 1 ได้ลงรายมือชื่อทำบันทึกข้อความใหม่ ในฐานะประธานกรรมการฯ ในเอกสารที่แก้ไขใหม่เพียงผู้เดียว
อีกทั้งโจทก์ยังมีสำเนาเอกสารที่เป็นส่วนหนึ่งของรายงานการพิจารณาผลประกวดราคาที่ดำเนินการเสร็จแล้ว แต่กลับมีรอยขีดฆ่าและแก้ไขราคากลาง เขียนด้วยดินสอเป็นตัวเลขราคา 12,200,000,000 บาท รวมทั้งยังมีผู้เชี่ยวชาญ และผู้ตรวจพิสูจน์ลายมือเบิกความสนับสนุนด้วย ดังนั้น การกระทำของจำเลยทั้งสอง นอกจากจะปกปิดข้อเท็จจริงต่อกรรมการบริษัทผู้เสียหายแล้ว ยังมีลักษณะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่ฝ่ายผู้เสนอราคาที่ย่อมก่อให้เกิดความเสียหายกับ บทม.ด้วย ซึ่งเป็นการกระทำไปโดยรู้ว่าจะทำให้เกิดความเสียหาย จำเลยทั้งสองจึงมีความผิดฐานเป็นพนักงานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายตามฟ้อง ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นโดย
ศาลพิพากษากลับว่า จำเลยทั้งสองกระทำผิดตามพ.ร.บ.พนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 11 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 ให้จำคุกจำเลยคนละ 5 ปี แต่การนำสืบของจำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา มีเหตุให้บรรเทาโทษ ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ 3 ปี 4 เดือน และให้ออกหมายจับจำเลยทั้งสอง เพื่อบังคับคดีตามคำพิพากษาต่อไป ภายในอายุความ 10 ปี
ขณะที่ศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 24 มี.ค.2554 เห็นว่าจำเลยทั้งสอง มีความผิดตาม พ.ร.บ.พนักงานในองค์การของรัฐฯ มาตรา 11 ให้จำคุกคนละ 5 ปี ต่อมาจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ซึ่งศาลอุทธรณ์มีคำตัดสินเมื่อวันที่ 28 ส.ค.2556 พิพากษากลับให้ยกฟ้องจำเลยทั้งสอง ภายหลังอัยการโจทก์ และจำเลยที่ 2 ยื่นฎีกา