+++ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน อยู่ระหว่างการเดินทางเยือนเวียดนาม 2 วัน ระหว่างวันที่ 5 - 6 พ.ย. เป็นประธานาธิบดีจีนคนแรก ที่เยือนเวียดนามในรอบ 10 ปี ประธานาธิบดีจีน หารือร่วมกับประธานาธิบดีเจือง เติ๊น ซาง และนายกรัฐมนตรีเหวียน เติ๊น สุง ของเวียดนาม ที่กรุงฮานอย ผู้นำทั้งสองตกลงที่จะจำกัดความขัดแย้งระหว่าง 2 ประเทศ รวมทั้งรักษาสันติภาพและความมั่นคง นายสี กล่าวว่า จีนจะร่วมมือกับเวียดนามควบคุมความขัดแย้งทางทะเล และรักษาไว้ซึ่งความสัมพันธ์ สันติภาพและความมั่นคง ระหว่างเวียดนามกับจีน
+++ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐฯ มีแผนเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ในปีหน้า เข้าร่วมประชุมสุดยอดเศรษฐกิจของภูมิภาค นายโอบามา เป็นประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐฯที่เดินทางเยือนลาว ทั้งนี้ ลาวจะเป็นชาติประธานหมุนเวียนของอาเซียนในปี 2559 ส่วนปลายปีนี้ ประธานาธิบดีโอบามา จะเดินทางไปมาเลเซีย เข้าร่วมประชุมสุดยอดอาเซียนประจำปี 2558 รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของนายโอบามา ต้องการส่งเสริมจุดยืนของอาเซียน รวมทั้งเน้นย้ำความจริงจังของการประกาศนโยบายปักหมุด ในเอเชียและแปซิฟิก
+++สำนักงานสถิติแห่งชาติอินโดนีเซีย ระบุว่า เศรษฐกิจอินโดนีเซีย ขยายตัวร้อยละ 4.73 ในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ กระเตื้องขึ้นจากร้อยละ 4.67 ในไตรมาสที่ 2 ซึ่งต่ำสุดในรอบ 6 ปี การเพิ่มการใช้จ่ายของรัฐบาล รวมทั้งการเริ่มโครงการสาธารณูปโภคสำคัญหลายโครงการกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศ นักวิเคราะห์ชี้ว่า อินโดนีเซีย ประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่สุดของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จำเป็นต้องดำเนินการอีกมากผลักดันให้เศรษฐกิจเติบโตสูงเกินร้อยละ 7 ตามที่ประธานาธิบดีโจโด วิโดโด ให้คำมั่นตอนเข้ารับตำแหน่งเมื่อ 12 เดือนก่อน
+++คณะผู้สังเกตการณ์การเลือกตั้งจากสหภาพยุโรป(อียู) เตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้งทั่วไปในเมียนมาร์ในวันอาทิตย์นี้ หัวหน้าคณะผู้สังเกตการณ์การเลือกตั้งของอียู กล่าวว่า ยังไม่พบความผิดปกติ นับเป็นสัญญาณที่ดีของการเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้ ส่วนกรณีที่รัฐบาลเมียนมาร์จะอนุญาตให้คณะผู้สังเกตการณ์จากอียูเข้าไปสังเกตการณ์การเลือกตั้งในค่ายทหารจนถึงขณะนี้ยังไม่มีรายละเอียด โดยวันเลือกตั้งจะมีผู้สังเกตการณ์จากอียูเข้าไปปฏิบัติหน้าที่กว่า 150 คน
+++นิตยสารฟอร์บส์ ประกาศจัดอันดับบุคคลที่ทรงอิทธิพลต่อความคิดของประชาชนมากที่สุดในโลก ครั้งที่ 7 ประจำปี พ.ศ. 2558 อันดับ 1 ปีนี้ได้แก่ ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ซึ่งครองอันดับสูงสุดติดต่อกันเป็นปีที่ 3 ส่วนอันดับ 2 ได้แก่ นางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีหญิงของเยอรมนี ขยับขึ้นจากอันดับ 5 ปีที่แล้ว และอันดับ 3 ประธานาธิบดีโอบามา หล่นจากอันดับ 2 ของปีที่แล้ว
+++นิตยสารฟอร์บส์ กล่าวถึงนายปูติน ว่า เป็นหนึ่งในเพียงไม่กี่คนในโลก ที่มีอำนาจอิทธิพลมากพอที่จะทำในสิ่งที่ต้องการ และไม่ต้องรับผิดต่อผลของการกระทำ ไม่มีสิ่งใดยับยั้งนายปูตินได้ คะแนนนิยมของเขาพุ่งสูงถึงร้อยละ 89 แม้รัสเซียจะเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจ ถูกนานาชาติคว่ำบาตร หลังจากนายปูตินสั่งผนวกดินแดนไครเมีย และก่อสงครามตัวแทน ทางภาคตะวันออกของยูเครน
+++โดยเฉพาะสถานการณ์ในซีเรีย รัสเซียเข้ามามีบทบาทเพิ่มมากขึ้น ล่าสุด รัสเซียเสริมระบบขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานเข้าไปในซีเรียสนับสนุนภารกิจทางอากาศ ทำให้มีความเคลื่อนไหวจากฝรั่งเศส ประธานาธิบดีฝรั่งเศส เปิดเผยว่า จะส่งเรือบรรทุกเครื่องบินชาร์ลส์ เดอ โกลล์ ไปสนับสนุนปฏิบัติการต่อต้านกลุ่มรัฐอิสลาม(ไอเอส) ในอิรักและซีเรีย
+++เหตุไฟไหม้สถานบันเทิงชื่อโคเล็คทีฟในโรมาเนีย บานปลายจนทำให้ชาวโรมาเนียยกระดับชุมนุมจนทำให้นายวิคเตอร์ ปอนตา ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แสดงความรับผิดชอบ ล่าสุด มีการแต่งตั้งนายโซริน คิมเปียนู รัฐมนตรีศึกษาธิการ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเฉพาะกาลจนกว่าผู้นำคนใหม่จะได้รับการเสนอชื่อและรับรองจากรัฐสภา วันนี้จะมีการหารือกับภาคประชาสังคมกลุ่มต่างๆ กลุ่มผู้ประท้วง และบรรดาผู้นำพรรคการเมือง ก่อนตัดสินใจว่าควรจะแต่งตั้งบุคคลใดเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ต่อไป ผู้ประท้วงตำหนิเรื่องการคอร์รัปชั่นว่าเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของคน 32 ศพ และบาดเจ็บกว่า 100 คนหลังเกิดเหตุไฟไหม้ไนท์คลับ และเรียกร้องให้รัฐบาลเดินหน้าปฏิรูปการเมืองในทุกๆด้าน กลุ่มผู้ประท้วงไม่พอใจหน่วยราชการที่รับสินบนออกใบอนุญาตให้กับเจ้าของไนท์คลับและไม่มีมาตรการดูแลความปลอดภัยจนเกิดเหตุร้ายขึ้น
+++ชาวอินเดียในรัฐมหาราษฏระ ทางภาคตะวันตกตอนกลาง ต้องสูญเสียตาข้างหนึ่ง อย่างน้อย 14 คน หลังเข้ารับการผ่าต้อกระจกกับแพทย์ในโรงพยาบาลท้องถิ่น ซึ่งใช้เครื่องมืออุปกรณ์ที่ไม่สะอาดเพียงพอ นายดีปัค ซาวานต์ รัฐมนตรีสาธารณสุขรัฐมหาราษฏระ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลไม่ทำให้เครื่องมือปลอดเชื้อเพียงพอ จึงทำให้ประชาชนตาบอด ซึ่งถือเป็นความสะเพร่าอย่างร้ายแรงของแพทย์ ทางการสั่งระงับการปฏิบัติหน้าที่ของแพทย์ 3 คน และเจ้าหน้าที่ฝ่ายสนับสนุนบางส่วน และตั้งคณะกรรมการสอบสวน ซึ่งหากพบความผิด บุคคลเหล่านี้จะถูกถอนใบประกอบวิชาชีพ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างความวิตกเกี่ยวกับมาตรฐานด้านสุขอนามัยในระบบสาธารณสุขของอินเดีย
+++เมื่อเดือน ธ.ค. ปีที่แล้ว ประชาชนประมาณ 20 คนตาบอด จากการเข้ารับการผ่าตัดต้อกระจกฟรี จากเจ้าหน้าที่ในรัฐปันจาบ ทางภาคเหนือ และเหตุการณ์เกิดขึ้นเพียงไม่กี่สัปดาห์ หลังจากสตรี 13 คนเสียชีวิต หลังเข้ารับการผ่าตัดทำหมันหมู่ ที่ศูนย์สาธารณสุขทางภาคกลางของประเทศ